คุณผู้ชายหรือคุณผู้หญิงทั้งหลายเคยสงสัยบ้างไหมว่า เจ้าอุปนิสัยและอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันเหล่านี้มีที่มาจาก อะไร
นอกจากการแสดงออกทางอุปนิสัยและอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันระหว่างหญิงชายแล้ว ในการมีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงและ ผู้ชายก็มีความแตกต่างกันในการแสดงออกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการมีอารมณ์เพศ การเข้าถึงจุดสุดยอดหรือเรื่องอื่นๆ ผู้หญิงมักเกิดอารมณ์เพศยาก ธรรมชาติในเรื่องนี้ของชายและหญิงนั้นแทบจะตรงข้ามกันเลยทีเดียว นั่นคือ ผู้ชายจะเกิด อารมณ์เพศง่ายและเร็วโดยไม่ต้องมีเหตุผลอะไรมารองรับ ผู้ชายสามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิงคนไหนก็ได้โดย ไม่จำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นด้วยความรัก แต่ผู้หญิงนั้น ถ้าเธอจะมีอะไรกับใครสักคนแล้ว คนๆ นั้นจะต้องเป็นคนที่เธอรัก และ เธอจะคิดก่อนเสมอว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่เธอสมควรจะต้องมอบกายมอบใจให้กับเขา ด้วยสาเหตุนี้ ผู้หญิงจึงเกิดอารมณ์เพศยากและเกิดได้ช้า และด้วยเหตุนี้เช่นกัน ผู้หญิงจึงต้องการ "การเล้าโลม" (FOREPLAY) ก่อนการร่วมเพศเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่ผู้ชายก็มักใจร้อนและชอบที่จะกระทำการด้วยความรวดเร็ว จึงไม่ อยากเสียเวลากับการเล้าโลม ปัญหานี้เป็นปัญหาที่คู่รักส่วนใหญ่ต้องประสบพบเจออยู่เป็นประจำ ผู้หญิงไปถึงจุดสุดยอดได้ยากและช้า ธรรมชาติของเพศหญิงต้องการเวลาในการสร้างอารมณ์เพศทีละนิด จนกระทั่งร่างกาย ได้รับการกระตุ้นไปจนถึงจุดสุดยอด การกระตุ้นที่จุดสัมผัสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการกอด การสัมผัสลูบไล้ไปที่อวัยวะส่วนต่างๆ โดยเฉพาะจุดที่ไวต่อความรู้สึก เช่น บริเวณต้นคอ เนินอก ซอกคอ หรือต้นขา ซึ่งควรต้องกระทำอย่างช้าๆ และเป็นจังหวะ แต่ผู้ชายนั้นจะถูกกระตุ้นได้ง่ายและรวดเร็วมากๆ ถึงขนาดที่ว่าเพียงแค่เห็นรูปถ่ายผู้หญิงที่แต่งตัววับๆ แวมๆ เท่านั้น ความ เป็นชายก็พลุ่งพล่านไปทั่วร่างแล้ว ซึ่งในผู้หญิงจะไม่ง่ายดายขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้ชายและหญิงมีลักษณะเช่นนี้ นอกจากสภาวะร่างกายตามธรรมชาติที่แตกต่างของหญิงและชายแล้ว ยังเกี่ยวข้อง กับฮอร์โมนอีกด้วย ในร่างกายผู้ชายจะมีฮอร์โมนเพศที่ชื่อว่า "เทสโตสเตอโรน" (TESTOSTERONE) อยู่ ส่วนในร่างกายผู้หญิงมีฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า "เอสโตรเจน" (ESTROGEN) อยู่ แล้วฮอร์โมนทั้งสอง ชนิดนี้คืออะไร ฮอร์โมน "เทสโตสเตอโรน" เป็นฮอร์โมนเพศชาย จะถูกผลิตขึ้นที่บริเวณลูกอัณฑะเป็นส่วนใหญ่ และส่วนน้อยผลิตจากต่อม หมวกไตและรังไข่ ซึ่งก็หมายถึงว่า ฮอร์โมนชนิดนี้ก็มีในเพศหญิงด้วยเช่นกันแต่เป็นจำนวนที่น้อยกว่า หน้าที่ของฮอร์โมนเท สโตสเตอโรน คือทำให้เกิดลักษณะของความเป็นชายขึ้น เช่น มีหนวดเครา ขนหน้าแข้ง เสียงที่แหบห้าว หรือมีกล้ามเนื้อเกิด ขึ้น และที่สำคัญ ช่วยกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกทางเพศให้กับเพศชาย ในเพศหญิงฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนจะไม่ส่งผลให้ เกิดลักษณะเฉพาะความเป็นชายแต่อย่างใด แต่มีหน้าที่กระตุ้นอารมณ์ทางเพศให้เกิดกับผู้หญิงเท่านั้น ดังนั้น ที่ผู้หญิงมี อารมณ์ความรู้สึกทางเพศน้อยกว่าผู้ชายก็เพราะว่ามีฮอร์โมนตัวนี้น้อยกว่านั่นเอง ส่วนในผู้หญิงนั้น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน "เอสโตรเจน" ออกมาจากรังไข่ ฮอร์โมนชนิดนี้ส่งผลให้ เกิดพัฒนาการทางร่างกายด้านต่างๆ ในเพศหญิง เช่น เต้านมโตขึ้น เอวคอด สะโพกผาย ต้นขากลม มีขนขึ้นที่บริเวณอวัยวะ เพศหญิง การทำงานของรังไข่จะอยู่ภายใต้การทำงานของต่อมใต้สมอง และการทำงานของต่อมใต้สมองก็จะอยู่ภายใต้การ ควบคุมของศูนย์ควบคุมอารมณ์ในสมองอีกที ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเพศหญิงมีอารมณ์และความรู้สึกต่อความรักลึกซึ้ง กว่าเพศชาย ด้วยสาเหตุดังกล่าว ความรักของผู้ชายจึงเกี่ยวพันกับการมีเพศสัมพันธ์อย่างแยกแยะไม่ออก ส่วนความรักของผู้หญิงก็เน้นไป ที่อารมณ์ ความรู้สึก ความรักและความผูกพันเป็นหลัก เท่ากับว่า เจ้าฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนและฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นตัว ที่สร้างความแตกต่างในการแสดงพฤติกรรมทางเพศ อุปนิสัยบางประการ รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของทั้งชายและ หญิงนั่นเอง การทำความเข้าใจในเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความยั่งยืนของชีวิตคู่ระหว่างหญิงชาย การเอาแต่โยนความผิดกันไป มาไม่เคยแก้ปัญหาอะไรได้เลย
การร่วมมือกันแก้ปัญหาด้วยการพบกันครึ่งทางคือวิธีที่ดีที่สุด
แค่เพียงความแตก ต่างในด้านสภาวะร่างกายตามธรรมชาติไม่ควรเป็นเหตุแห่งความรักที่แตกร้าวแต่อย่างใดเลย ผู้หญิงควรพยายามเรียนรู้ ผู้ชาย และผู้ชายก็ควรพยายามเข้าใจผู้หญิง
ตราบใดที่โลกเรายังดำรงอยู่ ความรักระหว่างชายหญิงก็ยังต้องมีอยู่เช่นเดียวกัน แม้จะมีชายหญิงหลายต่อหลายคนเปลี่ยนใจ ไปรักเพศเดียวกันมากมาย แต่ก็เป็นเพียงคนส่วนน้อย ไม่ว่าอย่างไร ความรักระหว่างชายหญิงก็จะต้องคงอยู่คู่โลกตลอดไป โดยไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น