วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

หญิงกับชาย...ใครร้ายกว่ากัน

          คนที่กำลังโกรธมักจะตาขวาง พูดหยาบคาย เสียงดัง กำหมัด กัดฟัน หรือตัวสั่น ผู้ชายที่มีหนวดยาวสักหน่อย อาจโกรธจนหนวดกระดิก คนผิวขาวแบบฝรั่งหรือชาวญี่ปุ่น อาจโกรธจนหน้าแดง เรียกว่า เลือดขึ้นหน้า ส่วนคนผิวดำเวลาโกรธเลือดขึ้นหน้าเหมือนกัน แต่สีหน้าจะแดงไม่ชัด หากเห็นคนผิวคล้ำกำลังโกรธ อย่าไปจ้องมองว่าหน้าเขาเป็นสีอะไร เพราะอาจโดนเจ้าของใบหน้ายกหมัดทิ่มตาขี้สงสัยจนบวม หมดโอกาสดูสีหน้าใครๆ ไปอีกหลายวัน ความโกรธ ความก้าวร้าวหรือโทสะ จัดเป็นหนึ่งในสามของกิเลสตัวร้ายทางพุทธศาสนา เป็นยาพิษขนานเอกที่คอยกัดกร่อนจิตใจให้เป็นทุกข์อย่างไม่รู้จบสิ้น นอกจากจะทำให้ตนเองไม่มีความสุขแล้ว ยังพลอยทำให้คนแวดล้อมอยู่อย่างไม่สงบไปด้วย ความก้าวร้าวเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นคนป่วยทางจิตใจ และพบได้บ่อยพอๆ กับการแสดงความรัก ความห่วงใยต่อกัน ความก้าวร้าวอย่างรุนแรง เช่น ฆาตกรรม การข่มขืน การประท้วงอย่างไม่สงบ การทำทารุณกรรมกับเด็กหรือผัวเมียตีกัน เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ ความเจริญทางวัตถุทำให้เรามีความเป็นอยู่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันความแออัดบวกกับการแข่งขันกันเพื่อปากท้อง ซึ่งติดตามความเจริญมาด้วย ก่อให้เกิดความเครียด อันเป็นสาเหตุประการหนึ่งของความก้าวร้าว นอกจากความเครียด ความหนาแน่นของประชากร และความแออัดของฝูงชนแล้ว ยังมีสาเหตุอีกหลายประการ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าวขึ้น ได้แก่สถานการณ์บางอย่าง เช่น พบคนที่เกลียด ถูกทำให้เจ็บปวด การแข่งขัน หรือถูกแย่งตำแหน่ง การเสียหน้า ถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรม เห็นผู้อื่นกระทำสิ่งที่ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ ทำเพื่อปกป้อง การแย่งชิงเพศตรงข้าม หรือต้องการแสดงความเหนือว่า คนส่วนหนึ่งโดยเฉพาะผู้ใหญ่จะแสดงความก้าวร้าว กับคนในครอบครัวมากกว่าคนที่ไม่คุ้นเคย ส่วนวัยรุ่นจะก้าวร้าวกับคนแปลกหน้าค่อนข้างมาก อาจเป็นเพราะวัยรุ่นยังมีประสบการณ์น้อย จึงก้าวร้าวกับคนอื่นโดยไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ได้เรียนรู้ว่าการแสดงความก้าวร้าว เป็นพฤติกรรมที่สังคมไม่ต้องการ จึงพยายามควบคุมเอาไว้ และสามารถทำได้กับคนแปลกหน้า แต่เมื่ออยู่กับคนในครอบครัว กลับไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้ คนที่โตมากับครอบครัวซึ่งมักแสดงความก้าวร้าวต่อกัน มีแนวโน้มเป็นคนก้าวร้าว อธิบายว่า เป็นผลจากกรรมพันธุ์พฤติกรรมเลียนแบบ และการเลี้ยงดูโดยมีการส่งเสริมพฤติกรรมก้าวร้าว อาจจะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้พฤติกรรมนั้นเกิดซ้ำๆ เช่น ผู้ใหญ่คอยส่งเสียงเชียร์เด็กที่ถือไม้ไล่ตีแมว เมื่อเด็กตีถูกผู้ใหญ่ก็ส่งเสียงเฮ! ลั่น ตบไม้ตบมือชอบใจและชมเด็กว่าเก่ง เด็กจะเรียนรู้อย่างผิดๆ ว่า สิ่งที่ตนเองกำลังทำเป็นสิ่งดี เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ และจะทำซ้ำอีกเมื่อมีโอกาส นอกจากนั้นลักษณะครอบครัวที่ไม่ปรองดองกัน ครอบครัวแตกแยกโดยพ่อแม่แยกทางกันหรือหย่าร้าง มีการเสียชีวิตย้ายที่อยู่บ่อยมาก มีการทำทารุณกรรมเด็ก หรือผู้ปกครองติดสุราก็ทำให้เด็กมีแนวโน้มก้าวร้าวได้เมื่อโตขึ้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวชักนำให้เกิดความก้าวร้าว ได้อย่างร้ายกาจ พบว่าผู้ก่อคดีต่างๆ มากกว่าครึ่งหนึ่ง ได้ดื่มสุราเข้าไปก่อนก่ออาชญากรรมทั้งสิ้น ความจริงแล้วการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณน้อยๆ ทำให้เกิดความรู้สึกครึ้มหรืออารมณ์ดีได้ น่าเสียดายที่คนจำนวนมากมิได้หยุดดื่มเพียงแค่นั้น แต่กลับดื่มมากจนกระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าวขึ้น ทั้งนี้เพราะแอลกอฮอล์จะลดความยับยั้งชั่งใจ ทำให้การควบคุมอารมณ์ไม่ดีพอ การตัดสินใจเรื่องต่างๆ จึงเสียไป สารเสพติดและยาบางชนิดก็ทำให้เกิดความก้าวร้าวได้ โดยกลไกที่คล้ายๆ กัน ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นสาเหตุของความก้าวร้าวได้เช่นกัน ตัวอย่างที่ได้ยินบ่อยๆ ได้แก่ ความโมโหหิวในนิยายพื้นบ้านเรื่อง ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ความเจ็บป่วยบางอย่าง เช่น โรคลมชัก ปัญญาอ่อน โรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน (AFFECTIVE DISORDERS) และอีกหลายโรคเป็นต้นแหตุของความก้าวร้าวได้ในบางช่วงของอาการ นอกจากนั้นสภาพแวดล้อมบางอย่างสามารถกระตุ้น ให้เกิดความก้าวร้าวขึ้นได้ เช่น ความร้อน การมีอาวุธอยู่ใกล้หรือในมือ โดยเฉพาะปืน ตัวอย่างเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" เป็นอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดี สาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับความก้าวร้าว และนำไปสู่ชื่อเรื่อง "หญิงกับชาย...ใครร้ายกว่ากัน" ได้แก่เพศที่แตกต่างกัน เด็กผู้ชายมักก้าวร้าวมากกว่าเด็กผู้หญิง เห็นได้ว่าเด็กผู้ชายจะเล่นรุนแรงมีลักษณะในทางทำลายของ วิ่งและกระโดดมากกว่าเด็กผู้หญิง เพศที่ต่างกันอาจเป็นตัวกำหนดการเกิดความก้าวร้าว แต่ในขณะเดียวกันความคาดหวังจากสังคมว่า เพศหญิงจะต้องนุ่มนวลและเรียบร้อยกว่า ก็มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเด็กไม่น้อย เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ลักษณะก้าวร้าวในเพศชายที่มากกว่าจะปรากฏชัดขึ้น โดยดูจากสถิติอาชญากรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ด้วยน้ำมือของผู้ชาย แต่เป็นที่น่าประหลาดใจเมื่อพบว่า หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับภายในครอบครัวแล้ว สถิติของคดีสามีทำร้ายภรรยาหรือภรรยาทำร้ายสามีมีมากพอๆ กันแสดงว่าหากเป็นเรื่องนอกบ้านเพศหญิงไม่อยากยุ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องในบ้านแล้วละก็เห็นจะยอมกันยากสักหน่อย มีการสงสัยว่าฮอร์โมนเพศชายจะเป็นตัวก่อให้เกิดความก้าวร้าว ในประเทศแถบสแกนดิเนเวียเมื่อประมาณ 60-70 ปีก่อน เคยมีการลงโทษโดยการตอนผู้ชายที่ก่อคดีรุนแรง โดยเฉพาะคดีทางเพศ พบว่าวิธีนี้สามารถลดความก้าวร้าวได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเคยมีการทดลองให้ฮอร์โมนเพศหญิงกับผู้ชายที่ก่อคดีก้าวร้าว พบว่าสามารถลดความก้าวร้าวลงได้มากเช่นกัน แสดงว่าฮอร์โมนเพศชายเกี่ยวข้องกับความก้าวร้าวจริงๆ อย่างไรก็ตาม พบว่าบางช่วงเวลาเพศหญิงก็ก้าวร้าวไม่น้อยเหมือนกัน เช่น ในช่วงวันก่อนมีรอบเดือน ผู้หญิงจะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หงุดหงิด และมีโอกาสก้าวร้าวเพิ่มขึ้นกว่าช่วงอื่นๆ อาจเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย มีอาการไม่สบายเนื้อสบายตัวบางอย่างบวกกับความรู้สึกรำคาญ จึงเป็นเหตุให้จิตใจถูกระทบกระทั่งได้ง่าย มีรายงานทางวิชาการเมื่อสิบกว่าปีก่อน แสดงถึงสถิติอาชญากรรมในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเกิดขึ้นน้อยมาก โดยผู้รายงานเป็นฝรั่งและชาวญี่ปุ่น ได้ให้เหตุผลว่า เป็นเพราะมีความก้าวร้าวในสังคมต่ำมาก และเสนอเหตุผลว่า

ประการแรก ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเป็นชนชาติเดียวกัน เป็นส่วนใหญ่ ประเทศอื่นๆ ส่วนมากมีประชากรหลายชนชาติหลายเผ่า ทำให้ภาษา วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างกันไป ก่อให้เกิดความไม่เข้าใจความขัดแย้ง และความก้าวร้าวตามมาได้โดยง่าย
ประการที่สอง ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีภัยธรรมชาติมาก เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และพายุจากทะเล ทำให้ประประชาชนต้องร่วมมือกันเพื่อต่อสู้ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ เป็นเหตุให้เกิดความรักความสามัคคีต่อกันมาก
ประการที่สาม โดยเฉลี่ยญี่ปุ่นมีการจัดระเบียบ ภายในหน่วยงานหรือบริษัทต่างๆ ดีมากทำให้เกิดความขัดแย้งกันน้อย
และประการสุดท้าย การเลี้ยงดูบุตรของชาวญี่ปุ่น จากยุคโบราณมีลักษณะพิเศษ เด็กจะได้รับความอบอุ่น เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดมารดามาก โดยมารดาจะเอาลูกผูกโอบไว้ที่หลัง ในเวลาทำงานหรือไปไหนมาไหนเด็กจึงไม่ถูกทอดทิ้งไว้นาน เมื่อหิว และเด็กจะนอนกับพ่อแม่จนกระทั่งโต มีการลงโทษ และตำหนิน้อยมาก แต่จะใช้วิธีล่อใจด้วยของเล่นหรือขนมหวาน ทำให้เด็กกระดากอายกับพฤติกรรมไม่ดีของตัวเอง เมื่อเด็กโตขึ้นจะควบคุมความก้าวร้าวได้ดีเพราะกลัวทำให้ครอบครัว และพ่อแม่ขายหน้า อย่างไรก็ตามรายงานเรื่องนี้ผ่านมาแล้วสิบกว่าปี เชื่อว่าในปัจจุบันสังคมญี่ปุ่นคงเปลี่ยนไปไม่น้อย โอกาสที่เด็กญี่ปุ่นจะได้เติบโตบนหลังของมารดาอย่างเมื่อก่อนคงมีไม่มาก ถึงแม้ว่ารายงานนี้จะไม่ใหม่นักแต่ก็มีหลายๆ จุดที่น่าสนใจเช่น การที่เด็กได้รับความอบอุ่นมากเป็นปัจจัยหนึ่ง ซึ่งทำให้เด็กโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความก้าวร้าวน้อย การให้รางวัลโดยใช้ของเล่นหรือขนมล่อใจเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่ดี จะได้ผลดีกว่าการลงโทษกับพฤติกรรมที่ไม่ดี ประการสุดท้าย คือ ความเป็นชนชาติเดียวกันภายในประเทศ เป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งช่วยป้องกันการเกิดความขัดแย้งและความก้าวร้าว ทำให้ย้อนกลับมามองประเทศของเราเองซึ่งมีหลายเชื้อชาติ หลายศาสนา หรือแม้แต่ผู้ที่ถือเชื้อชาติไทย ศาสนาพุทธซึ่งเป็นคนส่วนมาก ก็ยังมีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน ยกตัวอย่างภาษาที่ต่างกันของชาวเหนือ ชาวอีสานและคนภาคกลาง เพราะฉะนั้นการจะเปลี่ยนให้คนทั้งชาติ กลายเป็นชนชาติเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ต้องแก้ด้วยการช่วยกันสร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้นว่า เป็นคนไทยด้วยกันใต้ผืนธงเดียวกันซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน การลดความก้าวร้าวทางอื่น ต้องดูจากสาเหตุหลายประการ ที่ได้กล่าวถึงมาตั้งแต่ต้น สาเหตุบางประการเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น เราแก้ไขสาเหตุทางพันธุกรรมไม่ได้ และเราบังคับให้ฮอร์โมนเพศหญิงกับผู้ชายเพื่อหวังให้ผู้ชาย ลดความก้าวร้าวลงไม่ได้ ด้วยว่าจะมีแต่ผู้ชายตุ้งติ๋งเต็มไปหมด จึงเหลือปัจจัยที่พอจะแก้ไขได้คือ ลดการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง และช่วยกันเปลี่ยนค่านิยมของการดื่มแอลกอฮอล์เสีย สร้างความรัก ความปองดองภายในครอบครัวให้มีมากขึ้น โดยผู้ปกครองจะต้องมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน และมีความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตของครอบครัวให้ดีพอ หนทางสุดท้ายในการลดความก้าวร้าวคือ สามารปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา เช่น พรหมวิหารสี่ของพุทธศาสนา ที่ว่าด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือคำสอนของชาวคริสต์ว่า จงรักศัตรูของท่านหากถูกตบแก้มขวา จงเอียงแก้มซ้ายให้เขาตบอีก
แล้วเราคงได้เห็นรอยยิ้มกว้างให้แก่กันมากๆ มาทดแทนภาพคนที่กำลังตาขวาง กำหมัด กัดฟัน หรือเม้มปากจนหนวดกระดิก

เสน่ห์

เสน่ห์ทางกาย
เป็นเสน่ห์ที่เน้นพลังฝ่ายดึงดูดมากกว่าอย่างอื่น เช่นเห็นแล้วดึงดูดให้อยากมองนานๆ ยากจะถอนสายตา หรือกระทั่งอยากถลาเข้าไปลองสัมผัสให้ได้เดี๋ยวนั้น
เสน่ห์ทางกายปรากฏเด่นเห็นง่ายสุด จับต้องได้ง่ายสุด เพราะกายมนุษย์เปล่งประกายเสน่ห์ได้ผ่านความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐาน ตลอดจนความผ่องใสมีสง่าราศีแห่งผิวพรรณ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาหรือพิธีรีตองใดๆ ในการเปล่งประกายเสน่ห์ชนิดนี้ แค่ปรากฏตัวก็ใช้ได้แล้ว
ความเปล่งปลั่งชนิดบาดตาได้ตั้งแต่แรกพบนั้น เป็นผลอันเกิดจากการให้ทานที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ไม่มีความขัดข้องทางใจเท่ายองใย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีโอกาสถวายทานแด่พระพุทธเจ้าหรืออริยะสงฆ์สาวก แล้วรักษาความเลื่อมใสนั้นไว้ได้ตลอดชีวิต ก็จะมีความรุ่งเรืองปรากฏชัดทางผิวหนังตั้งแต่ในชาติแห่งทานนั้น แล้วปรากฏชัดเจนในชาติถัดมา ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์
ความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐานจะเกิดจากความมีศีลสะอาดเป็นหลัก รายละเอียดและมิติของรูปร่างหน้าตาที่ล่อตาชวนตะลึง กลิ่นกายที่น่าพิสมัย ตลอดจนความละเอียดน่าสัมผัสของผิวหนังที่เหมาะกับเพศนั้น บันดาลขึ้นจากความสามารถในการ งดเว้นความประพฤติทางกายและวาจาอันสกปรกเน่าเหม็นจนเคยชิน กระทั่งแม้ความคิดก็ไม่หลุดออกนอกกรอบของศีล พูดง่ายๆ ว่าเป็นผู้เคยมีศีลอันมั่นคงแข็งแรง จิตสะอาดสะอ้านจากมลทินยิ่ง จึงบันดาลให้เกิดผลงดงามไร้ที่ติ กระทบตาผู้คนแล้วชวนหลงไหลยิ่ง
คนที่ไม่ค่อยทำบุญกับบุคคลศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆ มักมีอำนาจเสน่ห์ทางกายน้อย เนื่องจากโอกาสที่จิตจะเปล่งประกายความเลื่อมใสอย่างแรงกล้าขณะทำบุญนั้นยากนัก

เสน่ห์ทางวาจา

เป็นเสน่ห์ที่มีพลังฝ่ายประทับมากกว่าอย่างอื่น เช่น ฟังพูดแล้วติดหูไม่รู้ลืม ราวกับพลังเสียงและสำเนียงพูดบุกรุกเข้ามาฝังตัวและกลอกกลิ้งอยู่ในแก้วหูคนฟังได้ พอห่างกันแล้วถวิลถึงราวกับโดนเสน่ห์ยาแฝด
เสน่ห์ทางวาจาจะแผลงฤทธิ์เต็มที่ต่อเมื่อผู้พูดมีโอกาสฉายไม้เด็ดสักประโยคสองประโยค การโอภาปราศรัยทักทายเพียงคำสองคำอาจจะยังไม่ได้ผลนัก แต่หากได้ช่องสำแดงเดชเต็มกำลัง เสน่ห์ทางวาจาก็อาจชวนให้หวนคิดถึงได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายมาก เนื่องจากความทรงจำเกี่ยวกับส่ำเสียงและถ้อยคำจะยืนยาวกว่าความทรงจำเกี่ยวกับรูปลักษณ์
เสน่ห์ทางวาจาที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างเห็นภาพง่ายที่สุดคงได้แก่วิธีรบเร้าหรือวิธีตื๊อของแต่ละคน บางคนตื๊อแล้วน่ารัก แต่หลายคนตื๊อแล้วน่ารำคาญ ทั้งที่ก็เป็นการรบกวนผู้ฟังเหมือนๆ กัน นี่ก็เพราะบางคนเท่านั้นที่มีพลังเสน่ห์ทางวาจา ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่มี
เสน่ห์ทางวาจามีองค์ประกอบหลายส่วน ซึ่งแต่ละส่วนก็เกิดจากกรรมเกี่ยวกับวาจาทั้งในอดีตและปัจจุบันรวมกันทั้งสิ้น องค์ประกอบหลักของเสน่ห์ทางวาจาจำแนกได้เป็น ๓ ส่วนดังนี้
) ความไพเราะของแก้วเสียง เกิดขึ้นจากความเป็นผู้มีวาจาสุจริต ทั้งพูดเรื่องจริงเท่าที่ควรพูด เลือกคำที่ฟังรื่นหูไม่หยาบคาย หาวิธีพูดประนีประนอมไม่เสียดสีใคร ตลอดจนครองสติในการพูดเพื่อประโยชน์ได้เสมอ องค์ประกอบหลักเหล่านี้จะปรุงแต่งแก้วเสียงให้ฟังดี ฟังเย็น และฟังมีพลังสะกด ถ้ายิ่งหมั่นสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญ ตลอดจนเปล่งเสียงประกาศธรรมอันชอบโดยไม่เคอะเขิน แก้วเสียงก็จะเปล่งประกายสดใสเพราะพริ้งได้ตั้งแต่ชาติปัจจุบัน และไปปรากฏผลชัดที่สุดในชาติถัดมา น้ำเสียงและสำเนียงจะกลมกล่อมไม่บาดหูเลย (เว้นไว้แต่จะหลงผิด พูดจาเป็นอัปมงคลนานปีจนกำลังของวจีทุจริตใหม่ชนะกำลังของวจีสุจริตเก่า)
) ลูกเล่นในการจำนรรจา เกิดขึ้นจากความเป็นผู้ใส่ใจเจรจาให้น่าเอ็นดู เป็นที่ถูกใจ ทำความบันเทิงสดใสแก่ผู้ฟัง ยกตัวอย่างเช่นพวกชอบเล่านิทานให้เด็กฟัง ด้วยความหวังว่าเด็กจะได้สนุกสนาน ได้ข้อคิด และได้มองโลกในแง่ดีมีความอบอุ่น กรรมอันเกิดจากการฝึกเล่านิทานจริงจังจะบันดาลให้เกิดสัญชาตญาณในการมัดใจด้วยลีลาพูด คือรู้เองว่าด้วยลูกเล่นการออกเสียงสั้นยาว ลงเสียงหนักเบา ตลอดจนควบกล้ำอย่างไรให้ฟังน่ารักน่าใคร่ ชัดถ้อยชัดคำ พวกนี้ถ้าทำงานพากย์จะประสบความสำเร็จง่ายมาก และอาจจะไม่ต้องร่ำเรียนที่ไหนก็เก่งได้ยิ่งกว่ามืออาชีพที่คร่ำหวอดมานมนาน
) ความฉลาดเลือกคำ เกิดขึ้นจากความเป็นผู้คิดก่อนพูด ใช้สติในการง้างปากที่อ้ายาก ไม่ใช่ปล่อยให้อารมณ์บงการปากที่ไร้หูรูด ธรรมชาติของสตินั้น ยิ่งฝึกฝนให้เพิ่มมากขึ้นเท่าใด ปัญญาก็จะยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น
คนที่ไม่ค่อยใส่ใจกับการพูดนั้น นอกจากจะขาดเสน่ห์ทางวาจาแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดข้อน่ารังเกียจได้มากมาย เช่นคนพูดส่อเสียดและใส่ไคล้ผู้อื่นบ่อยๆมักมีกลิ่นปากเหม็นเน่า คนติดพูดคำหยาบคายกระโชกโฮกฮากมักมีสำเนียงเสียงไม่รื่นหูไม่ชวนฟัง เป็นต้น

เสน่ห์ทางกระแสจิต

เป็นเสน่ห์ชนิดที่มีพลังชะโลมได้มากกว่าอย่างอื่น เช่น แค่เข้าใกล้รัศมีใครบางคนคุณก็รู้สึกเยือกเย็น หรือกระทั่งเกิดความเงียบสงัดไร้ความคิดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม กระแสจิตของบางคนอาจเปี่ยมด้วยอิทธิพลแห่งพลังดึงดูดและพลังประทับได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายกับวาจารวมกันเสียอีก หากคุณเคยมีประสบการณ์ผ่านพบใครบางคน ที่คุณอยู่ใกล้ๆแล้วเกิดความอยากอยู่ใกล้ เมื่อห่างไปก็ถวิลถึง แม้รูปร่างหน้าตาของเขาไม่จัดว่าเลอเลิศ กับทั้งถ้อยทีเจรจาก็งั้นๆ นั่นแหละครับตัวอย่างของคนมีเสน่ห์ทางกระแสจิตขั้นรุนแรง
เสน่ห์แห่งกระแสจิตนั้น เป็นสิ่งเห็นไม่ได้ด้วยตา จับต้องไม่ได้ด้วยมือ ทว่าง่ายที่จะสัมผัสด้วยใจ และแม้คุณพบเจอจังๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าในเมื่อไม่เคยมีใครขอให้คุณอธิบาย คุณเลยไม่เคยฝึกจำแนกแยกแยะว่ากระแสจิตมีกี่ชนิด แต่ละชนิดมีพลังเสน่ห์จับใจได้แตกต่างกันสักแค่ไหน
จิตมนุษย์ที่กระจายออกมาให้สัมผัสได้นั้น มีกระแสพลังจากแหล่งต่างๆได้หลายหลาก อาทิเช่น พลังความคิด พลังจากมหากุศลที่ประกอบแล้ว พลังความสว่างทางปัญญาที่รู้ชอบในธรรมะ พลังสุขภาพ พลังของหน้าที่ พลังของอิทธิพลต่อหมู่คน พลังของที่อยู่อาศัย พลังของพาหนะส่วนตัว พลังของอัญมณี พลังของสัตว์ที่ผูกพันแน่นเหนียว พลังไสยศาสตร์ ตลอดไปจนกระทั่งพลังของเทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง โดยย่นย่อกระแสจิตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิธีมีตัวตนของแต่ละคน
ผมอาจแจกแจงที่มาที่ไปและชนิดของเสน่ห์ทางกระแสจิตอย่างละเอียดเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้โดยเฉพาะ แต่ในที่จำกัดนี้คงกล่าวเพียงสังเขปในแง่ วิธีคิดอันเป็นต้นตอเสน่ห์ทางกระแสจิตเพราะเสน่ห์ทางกระแสจิตของมนุษย์ธรรมดาจะเป็นไปตามวิธีคิด สายความคิดของมนุษย์ทั่วไปจะไม่ค่อยขาดสาย จึงปรุงแต่งให้จิตเป็นไปต่างๆนานาได้มากกว่าปัจจัยอื่น

ขอยกเฉพาะวิธีคิดหลักๆที่ก่อรัศมีจิตอันเป็นเสน่ห์ดังนี้

) ความคิดเป็นเส้นตรงไม่หมกมุ่นวุ่นวน คือมีเป้าหมายปลายทางของความคิดชัดเจน มีลำดับที่จะไปให้ถึงจุดหมายอย่างแน่ชัด หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกราบรื่น ไม่วกวน และอยู่ใกล้คุณนานๆ อาจพลอยเกิดคลื่นความคิดเป็นระเบียบตามไปด้วย
) ความคิดที่เบากริบหรือเงียบเชียบ คือคิดเท่าที่จำเป็น สามารถเว้นวรรคความคิดเพราะรู้จักเสพสุขกับสิ่งอื่น เช่นภาพแมกไม้ เสียงน้ำตก หรือกระทั่งเฝ้าสังเกตการเข้าออกอย่างเรียบง่ายตามธรรมชาติของสายลมหายใจตนเอง หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกผ่อนคลายไม่อึดอัด อยู่ใกล้คุณอาจพลอยสงบผาสุกตามไปด้วยชั่วครู่ และหากคลุกคลีใกล้ชิดกับคุณนานพอ กลุ่มความคิดที่หนาแน่นของเขาอาจพลอยเบาบาง กลายเป็นคนไม่คิดมากตามคุณไปด้วยอย่างถาวร
) ความคิดมองโลกในแง่ดี คือมีมุมมองของความหวังด้านบวกเสมอ จึงเชี่ยวชาญในการสร้างทางออก ขณะที่คนทั้งโลกเชี่ยวชาญในการพาตัวไปสู่ทางตัน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกสว่างไสว ไม่มืดมน และอยู่ใกล้คุณนานๆอาจพลอยเกิดแรงบันดาลใจและความหวังใหม่ๆ ตามไปด้วย
) ความคิดเผื่อแผ่พร้อมจะเสียสละ คือมีความอยากให้มากกว่าอยากเอา สามารถเป็นผู้ริเริ่มในการให้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนวณเสียก่อนว่าจะได้รับสิ่งใดเป็นผลตอบแทน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ เห็นคุณเป็นที่พึ่ง (ขอให้ทราบว่าความเป็นที่พึ่งกับความเป็นคนรับใช้นั้นต่างกันนิดเดียว ระหว่างให้แบบใจอ่อนยินยอมไปหมด กับให้แบบใจดีมีความน่าเกรงใจ ศิลปะของการให้อย่างหลังจะมีเสน่ห์ ขณะที่การให้อย่างแรกจะดูไร้ค่าหรือถึงขนาดน่ารังแก)
) ความมีใจเอ็นดูไม่คิดประทุษร้าย คือไม่แม้แต่จะแอบด่า แอบสาปแช่งคนหรือสัตว์ที่ตนเกลียด แต่มีเหตุผลบอกตนเองเสมอว่าทำไมจึงควรให้อภัย เห็นกระจ่างที่มาที่ไปอันน่าเห็นใจของคนแสนเลวสักคน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่หวาดระแวง และบังเกิดความปรารถนาดีต่อคุณ หากเกลียดหรือคิดทำร้ายคุณได้แปลว่าต้องมีใจพาลสันดานหยาบเอาเรื่องทีเดียว
) ความคิดมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวไม่ท้อแท้ คือแม้พบอุปสรรคก็ไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น เพราะคิดหาทางรุกคืบไปข้างหน้าเข้าหาเส้นชัยหรือทางออกจากปัญหา ทำอะไรทำจริง พูดอะไรแล้วทำอย่างที่พูด ตั้งใจอะไรแล้วไม่ล้มเลิกง่ายๆ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงพลกำลัง ความเข้มแข็งไม่อ่อนแอ ความคมคายไม่ทื่อมะลื่อ เต็มไปด้วยความก้าวหน้าพัฒนาสู่ความสำเร็จลุล่วง
) ความคิดยับยั้งชั่งใจ คือแม้พบสิ่งยั่วยุให้ละโมบโลภมาก ก็ระงับความทะยานอยากเสียได้หากเห็นว่าไม่ถูกไม่ชอบ หรือแม้พบสิ่งยั่วยุให้พยาบาทอาฆาตแค้น ก็ระงับความหุนหันพลันแล่นอยากโต้ตอบด้วยความรุนแรงเสียได้ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงขันติ ความอดทนทางใจ
) ความคิดไม่เข้าข้างตัวเอง คือไม่หลงตัว ไม่ปกป้องตัวเอง เป็นคนดีจริงด้วยการรู้ตัวว่ายังมีจุดบอดหรือข้อเสียอันใดอยู่บ้าง ไม่ใช่ดีจริงด้วยการประกาศว่าข้าดีพร้อม ข้าทำอะไรไม่ผิดสักอย่าง ไม่คิดเข้าข้างตัวเองแม้ผิดพลาดทำชั่วบ้าง ก็มีระดับมโนธรรมสูงพอจะสำนึกผิดได้ด้วยตนเอง หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงสำนึกอันดีงามของมนุษย์ กระแสความสำนึกผิดและการรับผิดชอบอย่างอาจหาญจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นกล้าที่จะสำนึกผิด แล้วก็ไม่ต้องขัดแย้งกับตนเอง ไม่ต้องเกลียดตนเองด้วยกำแพงปกป้องตนเองอันน่ารังเกียจ
) ความคิดที่รื่นรมย์เบาสมอง คือความสามารถมองแง่ร้ายให้กลายเป็นตลกได้ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกพร้อมจะมีอารมณ์ขัน นึกสนุก ไม่เคร่งเครียด เต็มไปด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจตามไปด้วย
๑๐) ความคิดแบบผู้ชนะที่มีน้ำใจนักกีฬาและความปรานี ไม่มีใครอยากยืนอยู่ข้างคนแพ้ ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครอยากอยู่ใต้อำนาจคนชนะที่เหลิงหลงและหมิ่นศักดิ์ศรีผู้อื่น ผู้ชนะอาจอยู่ในเกมกีฬา เกมธุรกิจ ตลอดจนกระทั่งเกมกิเลส คือถ้าเอาชนะกิเลสยากๆของตนเองได้ก็จัดเป็นผู้ชนะได้เหมือนกัน และเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ด้วย หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกหลงใหลมนต์เสน่ห์อันโดดเด่นจับตาจับใจได้ง่าย
วิธีคิดแบบอันเป็นตรงข้ามกับที่กล่าวมาข้างต้น จะบั่นทอนเสน่ห์ลง กล่าวคือกระแสความคิดจะเป็นแบบผลักไสให้ออกห่าง (ตรงข้ามกับพลังดึงดูดใจ) หรือแบบไม่ประทับลงในความทรงจำ (ตรงข้ามกับพลังประทับใจ) หรือแบบระคายเคือง (ตรงข้ามกับพลังชะโลมใจ) เช่นต่อให้มีเสน่ห์ทางกายและเสน่ห์ทางวาจา แต่ถ้าคิดฟุ้งซ่านมากๆเป็นนิตย์ ก็จะก่อคลื่นรบกวนคนใกล้ชิดให้ปั่นป่วนตาม อึดอัดที่จะต้องอยู่ใกล้ชิดนานๆ เป็นต้น

สูตรปรุงชีวิตสูตรปรุงชีวิต

           แม้ใครๆ จะบอกว่า ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ แต่เขาคนนี้บอกว่า เราทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุขได้ พร้อมทั้งบอกถึงสูตรสำเร็จของชีวิต แม้กระทั่งการเลือกคู่ การเลือกลูก เราก็กำหนดสเปคได้ แต่ไม่ใช่สเปคทางโลกแบบเก่งและดี ต้องมีปัญญาและเข้าใจสัจจะของชีวิต
ถ้าคนที่เข้าใจชีวิต แม้จะเจออุปสรรคมากมายเพียงใด ก็สามารถยิ้มรับและหาทางออกให้ตัวเองได้ แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้เช่นนั้น
บางคนพูดคุยธรรมะได้งดงาม แต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน บางคนฉลาดเข้าใจเรื่องทางโลก และรู้สึกว่า การเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์เป็นเรื่องปกติในสังคม บางคนเข้าวัดเข้าวา
พูดคุยธรรมะประหนึ่งเข้าใจชีวิต แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่
อาจเป็นได้ว่า มนุษย์มองออกไปนอกตัว จึงมองไม่เห็นบางอย่างในตัวเอง
ลองมารู้จักกับ ดอกเตอร์ทางวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ดร.สนอง วรอุไร แม้จะร่ำเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ จบปริญญาเอก สาขาไวรัสวิทยา จากมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่ในที่สุดก็หันมาศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง และพบว่าจิตของเรามีศักยภาพมากกว่าที่คิด สามารถพัฒนาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแต่เราไม่รู้จักการพัฒนาจิต
เขาย้อนความว่า ตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษ ต้องเรียนหนักมาก แต่พอฝึกจิตก็ส่งผลให้สามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น และเข้าใจบทเรียนได้ง่ายขึ้น
เมื่อสามสิบปีที่แล้วเขาได้อุปสมบท และมีโอกาสฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับพระเทพสิทธิมุนี (โชดก ปธ.9 ) ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์เป็นเวลา 30 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกมีคุณค่าที่สุดในชีวิต ทำให้ชีวิตพบจุดเปลี่ยน
หลังจากนั้นดร.สนองเข้าเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จนเกษียณอายุราชการ และหันมาเป็นครูบาอาจารย์ทางธรรม เดินสายบรรยายธรรมตามที่ต่างๆ ด้วยความเมตตาประกอบกับความเข้าใจชีวิตและธรรมะอย่างลึกซึ้ง สิ่งที่เขาบรรยายจึงมีคุณค่า สามารถจุดประกายความคิดให้หลายๆ คนนำมาใช้ในชีวิต
จนลูกศิษย์รวมกลุ่มกันตั้งเป็นชมรมกัลยาณธรรม ช่วยเผยแพร่ผลงานของเขาออกมาเป็นหนังสือหลายเล่มด้วยกัน อาทิ ทางสายเอก (เล่มนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ชาวต่างชาติได้มีโอกาสศึกษาประสบการณ์การปฏิบัติธรรม) การใช้ชีวิตที่คุ้มค่า อัญมณีของชีวิต ฯลฯ
ล่าสุดทางสำนักพิมพ์อมรินทร์ ได้เปิดตัวหนังสือ ทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุข ของดร.สนอง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนฟังเกือบเต็มหอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์
1. ถ้าทำร่างกายให้แข็งแรง เราต้องรักษาใจให้ได้ จริงๆ แล้วความรู้เหล่านี้มีมานานแล้ว ถ้ามีสุขภาพจิตดี กายก็จะดีไปด้วย ดร.สนอง เริ่มเล่าให้ญาติโยมและผู้สนใจฟัง จากตัวอย่างของเขาเองปัจจุบันอายุ 68 ปี ยังแข็งแรงและดูอ่อนกว่าวัย เพราะหมั่นฝึกดูใจตัวเองตลอดเวลา
เขาเล่าว่าในยุคที่บุกเบิกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต้องทำงานหนัก จนเป็นโรคกระเพาะ หลังจากฝึกจิตที่วัดมหาธาตุ ก็ค้นพบว่า โรคพวกนี้มาจากความเครียด หลังจากเรียนรู้เรื่องการฝึกจิตสมาธิผ่านมา 30 ปี ไม่เคยป่วยเป็นโรคอะไรเลย
เขาได้เขียนไว้ในหนังสือว่า ถ้าเราสามารถรักษาสมดุลของธาตุทั้งสี่ในร่างกายได้ โรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่เกิด อย่างคนขี้หนาวต้องดื่มน้ำเยอะๆ ในทางวิทยาศาสตร์น้ำคือ ตัวเก็บความร้อน
ดร.สนองย้อนความถึงสมัยเรียนลอนดอนว่า เคยป่วยไม่สบายเพราะทำงานหนัก ตอนนั้นเป็นไข้หวัดใหญ่และอาจตายได้ ก็พยายามขอนัดแพทย์ เพราะอยู่ที่นั่นไม่สามารถซื้อยารับประทานเองได้ ต้องมีใบสั่งแพทย์ แต่วันนั้นแพทย์ไม่มีคิวให้ เราก็ต้องรอวันรุ่งขึ้น
วันนั้นผมจึงรักษาตัวเองไปก่อน ไปนอนแช่น้ำอุ่น ปรากฏว่าอาการป่วยหาย ไปหาหมอในวันรุ่งขึ้น ไม่มีไข้เลย คนโบราณพูดถึงธาตุทั้งสี่ไว้คือ ดินน้ำลมไฟ ถ้าร่างกายมีสมดุลก็จะแข็งแรง แต่ถ้าเมื่อใดธาตุไหนหย่อนก็มีปัญหา อย่างการกินอาหารไม่สะอาด ก็ต้องกินน้ำเข้าไปเยอะๆ เราต้องรู้จักร่างกายตัวเอง
เขายกตัวอย่าง และเล่าถึงสมัยหนุ่มๆ ว่า เคยรับประทานไข่วันละฟอง จนมีปัญหาต้องไปพบแพทย์ ปัจจุบันหันมากินไข่ได้อีก ทั้งๆ ที่ตอนนี้อายุ 68 ปี เพราะเราหมั่นสังเกตตัวเอง ถ้ามึนศีรษะเมื่อไหร่ก็จะหยุดทันที เพราะร่างกายเตือนเราล่วงหน้า
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งรับประทานไข่วันละ 10 ฟอง แต่เจอกันวันสุดท้ายที่งานศพ อย่างเวลาผมกินไข่ ถ้ามีอาการมึนศีรษะเมื่อไหร่ก็หยุด อีกอย่างถ้ารู้ว่าไขมันในเลือดสูง ก็อาจจะดื่มน้ำดอกคำฝอย บอระเพ็ด เติมน้ำร้อนแล้วดื่ม เพื่อให้ร่างกายสมดุล ก่อนอื่นต้องตั้งโปรแกรมจิตไว้ว่า ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ปวดศีรษะ แต่ผมคิดว่า
อายุเท่าไหร่ไม่สำคัญขอให้อยู่เพื่อทำประโยชน์ให้สังคม
เขาย้ำอีกว่า แม้กระทั่งการตายก็มีสัญญาณเตือน อยู่ที่ว่าใครจะระลึกได้ทัน
2. นอกจากหลักการดูแลตัวเองง่ายๆ คือ การฟังเสียงร่างกาย หมั่นสังเกตตัวเองแล้ว เราก็ต้องมีสติและเข้าใจหลักการของธาตุทั้งสี่ และตั้งโปรแกรมจิตว่า จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ย่อมทำได้
แม้หลายคนจะค้านอยู่ในใจว่า สามารถทำได้จริงหรือ ดร.สนอง บอกว่า ต้องรู้จักคิดในแง่บวก คำว่า ไม่มี ไม่ได้ ไม่เกิด อย่าได้มาเกิดกับเขาเลย
และเรื่องน่าคิดอีกอย่าง ก็คือ คนที่มีธรรมะในใจจะทำงานด้วยตัวเองอย่างมีความสุข ไม่ชี้นิ้วให้คนอื่นทำแทน การทำงานด้วยตัวเองก็เพื่อให้ร่างกายได้ออกกำลังกาย คนที่มีธรรมะจะไม่เกี่ยงงาน จะทำงานด้วยใจอย่างมีความสุข อย่างน้อยๆ ต้องหัดเดินออกกำลังกายวันละสามสิบนาที อย่าอยู่เฉยๆ
ถ้าจิตไม่นิ่ง คลื่นสมองจะเปลี่ยน ดร.สนอง ย้ำและยกตัวอย่างตัวเขาเอง หลังจากศึกษาธรรมะแล้วมีความจำดีกว่าตอนหนุ่มๆ และเวลาบรรยายธรรม เขาจะไม่อ่านตำรับตำรามากมาย แต่จะทำใจให้สงบนิ่งเพื่อดึงศักยภาพในตัวเองมาใช้ ไม่ว่าจะข้อมูลที่สะสมในชีวิตหรือความเข้าใจชีวิต เพราะความเป็นจริงแล้ว จิตของเราสั่งสมข้อมูลแต่ละภพแต่ละชาติไว้ เพียงแต่เราจะระลึกได้หรือไม่
ปัจจุบันคนเราใช้ศักยภาพของพลังจิตเพียงแค่ 7% ด้วยเหตุผลนี้เอง คนที่ฝึกสติอย่างเชี่ยวชาญก็จะใช้ประโยชน์ทำงานได้เต็มที่ แต่เมื่อใดจิตว้าวุ่น ปัญญาก็จะไม่เกิด
ผมเคยบอกเพื่อนว่า ถ้ามีปัญหา ขอให้ลองอยู่นิ่งๆ สักพัก ปัญญาก็จะเกิด
นอกจากนี้การฝึกสมาธิง่ายๆ ยังมีอีกมากมาย แม้แต่การฟังเพลงคลาสสิกก็สามารถสร้างสมาธิได้ ขอให้มีสติกำหนดรู้เท่าทันอิริยาบทปัจจุบัน การร้องเพลงในโบสถ์ก็เป็นอีกวิถีหนึ่งของการเข้าสู่ความสงบ ทิเบตก็มีดนตรีประกอบพิธี หรือดนตรีอินเดีย (พูดถึงดนตรี ก็เลยร้องเพลงให้ฟัง)
การสวดมนต์ ก็เป็นการเข้าสมาธิอย่างหนึ่ง ถ้าเรามีใจจดจ่อ ไม่ได้เอากิเลสเข้าไปปรุงแต่งก็จะได้สมาธิ
ปกติผมจะบอกคนอื่นๆ ว่า อย่าเชื่อผม ให้ดูตามเหตุผล อย่างบางคนศรัทธามาก แต่ปัญญาไม่เกิด ผมว่าสติต้องพัฒนา
3. การเข้าถึงศักยภาพของตัวเราเอง อาจเป็นเรื่องยากในความรู้สึกบางคน แต่สำหรับดร.สนองแล้วดูเหมือนไม่ใช่เรื่องยาก เขาย้ำว่า ถ้ากายแข็งแรงต้องเคลื่อนไหวตลอด แต่จิตต้องสงบนิ่ง ยิ่งคนเราขี้เกียจมากเท่าไหร่ ก็จะมีพลังน้อย
หันมาพูดเรื่องการกำหนดสเปคให้ชีวิต ดูท่าจะสนุกกว่า เขาบอกว่า การเลือกคู่มีสองแบบคือ คู่สร้างคู่สมและคู่เวรคู่กรรม อย่างคู่สร้างคู่สมคือ คู่ที่เคยผูกพันกันทำกุศลกรรมร่วมกันมานาน และได้มาเกิดในสถานภาพใกล้เคียงกัน ส่วนคู่เวรคู่กรรมคือ คู่ที่เคยเป็นศัตรูหรืออาฆาตจองเวรกันมาในชาติก่อน แล้วมาเกิดเป็นคู่กัน
แล้วเราจะเลือกคู่แบบไหนดีล่ะ
เขาบอกว่า เป็นเรื่องต้องพิถีพิถัน ไม่ต่างจากเวลาเราซื้อของ ก็ต้องกำหนด สเปค แต่ถ้าคุณวางสเปคไว้ว่าต้องไอคิวสูง (ความฉลาดทางปัญญาความคิดที่เกิดจากการคิดมากฟังมาก) อีคิวสูง(ความฉลาดทางอารมณ์) และเอสคิว (ความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ ไม่ตกเป็นทาสของสรรพสิ่ง)
ถ้าคุณกำหนดสเปคว่า ต้องดีทั้งสามอย่าง ดร.สนองว่า ชาตินี้คุณไม่ได้แต่งงาน ถ้าเป็นเช่นนั้น เราต้องปรับตัวก่อนทำจิตทำใจให้มีศีลมีธรรม ถ้าจะเลือกคนมาเป็นคู่ ไม่จำเป็นต้องไอคิวสูงก็ได้ ขอให้เป็นคนดีคือ มีอีคิวสูง
ก่อนอื่นต้องรู้จักพัฒนาจิตใจตัวเอง คือ ส่องกระจกดูใจ เพราะทุกวันนี้เราออกจากบ้าน เราจะดูว่า แต่งตัวเหมาะสมไหม แล้วเราเคยดูใจของตัวเองไหม
บางคนปฏิบัติธรรมมานาน แต่ธรรมะไม่ได้เข้าไปอยู่ในใจ ก่อนอื่นต้องดูที่ใจ แล้วแก้ที่ตัวเองก่อน คนอื่นเป็นครูของเรา อย่างชาวตะวันตกเวลาสอนให้คนดูต้นไม้ สัตว์หรือธรณีวิทยา ก็จะศึกษาข้างนอก ไม่ได้ศึกษาด้านใน
เมื่อพูดถึงชีวิตด้านใน มีคนถามถึงเรื่องการสวดมนต์ที่ไม่รู้คำแปลจะมีประโยชน์อย่างไร ดร.สนองบอกว่า คนจำนวนมากสวดมนต์เพื่อให้จบเร็วๆ นั่นก็ได้สมาธิ แต่ไม่มาก แต่ควรสวดด้วยใจ ถ้าให้ดีก็ควรรู้ความหมาย บางบทก็จะได้แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ไปด้วย
ความเมตตาถ้าเราส่งคลื่นจิตออกไปตรงกัน เขาก็รับรู้ได้ มันอยู่ที่คลื่นส่งของเราด้วย
ในวงสนทนาก็มีคำถามมากมายที่หลายคนสงสัย แต่ดร.สนองสามารถตอบปริศนาได้บางส่วนเท่านั้น เพราะเวลาค่อนข้างจำกัด ยิ่งถ้าถามว่า ระหว่างการให้ทาน ถือศีล และปฏิบัติสมาธิภาวนา อันไหนจะได้บุญกุศลมากที่สุด
เขามีคำตอบว่า การภาวนาเพื่อพัฒนาจิต น่าจะเป็นแนวทางเพื่อให้มนุษย์ไปสู่จุดมุ่งหมายคือ ปัญญา เพราะถ้าเข้าสมาธิ เพื่อขจัดอารมณ์ปรุงแต่งได้ ย่อมเป็นเรื่องดี และสมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งอย่างเดียว ทำได้ทุกอิริยาบท เพื่อให้เกิดปัญญาขจัดกิเลส และช่วยเหลือคนอื่นได้
แม้จะเป็นฆราวาสก็สามารถบรรลุธรรมได้เช่นกัน เมื่อก่อนเขาเองก็ไม่เชื่อ จนเข้าถึงอภิญาณ และหากบวชเป็นพระสงฆ์ คงพูดเรื่องพวกนี้ไม่ได้
นี่เป็นบางส่วนที่ดร.สนองเล่าให้ฟังวันนั้น เขาพยายามเน้นย้ำเรื่องการฝึกสติอย่างเข้าใจ ถ้ามีศรัทธาก็ต้องมีปัญญาด้วย อย่างน้อยๆ ก็ต้องหัดเจริญสติไปเรื่อยๆ อย่าหวังว่าจะได้ญาณหรือเห็นนิมิต
ลองหันมาพัฒนาจิตเพื่อจะได้ไม่เป็นทาสของกิเลส ตัณหา และรู้จักกำหนดชีวิตตัวเองอย่างคนที่มีปัญญา นั่นก็จะเป็นจิ๊กซอว์ช่วยเหลือคนอื่นต่อไป

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ