วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความรักมักมีความชอบเป็นพื้นฐาน

ด้วยเหตุนี้ คุณผู้อ่านสงสัยไหมว่า ทำไมใครๆ ถึงชื่นชอบผู้หญิงกันนัก หรือ A Few Reasons Why Guys Like Girls บอกไว้ดังนี้
1. เพราะผู้หญิงมักกลิ่นหอมเสมอ แม้กลิ่นนั้นจะมาจากแชมพูสระผมเพียงอย่างเดียวก็เถอะ
2. ผู้หญิงน่ารักจะตาย เมื่อยามเธอหลับไหล
3. พวกเธอใช้เวลาไปกับการแต่งตัวนานนับชั่วโมง แต่ก็คุ้มกับการรอคอย
4. พวกเธอมักดูดี ไม่ว่าจะสวมใส่ เสื้อผ้าชุดไหน
5. วิธีที่พวกเธอบรรจงจูบคนรัก แล้วทันใดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกก็กลายเป็น ความสดใส
6. พวกเธอน่ารักชะมัด แม้ในยามกินซึ่งไม่ต้องการเหลืออะไร ไว้เผื่อใคร
7. ผู้หญิงทำให้สวีทฮาร์ทของพวกเธออบอุ่น ยามตระกองกอดเธอไว้ในวงแขน
8. พวกเธอน่ารัก แม้ยามโมโหโกรธา ทำหน้ายักษ์เข้าใส่
9. วิธีที่เธอบอกว่า ฉันคิดถึงคุณ สามารถทำให้ใครสักคนเป็นคนพิเศษขึ้นมาทันควัน
10. รอยยิ้มของเธอ ละลายหัวใจของผู้พบเห็น จนทำให้หยุดมองไปยังเธอไม่ได้

กระนั้นเพื่อความเท่าเทียม ขอเขียนถึงท็อป เซเว่น หรือ สาเหตุ 7 ประการที่ทำให้ ผู้ชายถูกหลงรักบ้างแล้วกัน ว่ากันว่า สิ่งที่ ทำให้พวกเขาน่ารักขึ้นมาได้ ก็อยู่ตรงที่
1. ให้สัมผัสที่อ่อนโยน ไม่กระโชกโฮกฮาก หรือหยาบกระด้างเข้าใส่
2. กอดและจุมพิตอย่างนุ่มนวลราวกับฝ่ายตรงข้ามเป็นนางฟ้ามาจุติ
3. ชอบทำให้ผู้หญิงเซอร์ไพรส์ ด้วยการกระทำที่พวกเธอไม่คาดคิด เช่น ชวนกันไปทำอะไรบ้าบอคอแตก เพราะผู้ชายไม่ใส่ใจกับสังคม หรือคนรอบข้างเท่าไหร่นัก
4. เมื่อเขาดูเป็นคนซื่อๆ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมและไม่รอบจัด
5. เป็นได้ทั้งเพื่อน, พี่และญาติผู้ใหญ่ในคราวเดียวกัน
6. ใจกว้างกับอดีตรักของฝ่ายตรงข้าม เพราะใครๆ ก็มีสมการ 3 ส่วน อันได้แก่ อดีต-ปัจจุบัน และอนาคตด้วยกันทั้งนั้น ถ้าอดีตจบไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่
7. มีสัญชาตญาณของการพิทักษ์และปกป้อง

เมื่อเล่าเรื่องความดีงาม ชวนฝันของผู้ตกอยู่ใน ห้วงรัก ให้อ่านแล้ว อยากเขียนถึง เหวลึก ด้านมืดของปุถุชนกันบ้าง
ปัญหาของคนรักกันมันอยู่ตรงนี้ไงท่าน ตรงที่ ถ้าหากคนที่เรารักไม่ได้ดี... เลิศประเสริฐศรีอย่างที่เราตั้งความหวังหรือคิดไว้ล่ะ คุณจะยังรักหรือทิ้งเขาไปเสียเลย ...ดีนะ
แต่ขอบอกก่อนว่า หากคุณกำลังมองหาคนที่สมบูรณ์แบบอยู่ละก็ ตอบได้เลยว่า ไม่มีคนนั้นอยู่ในโลกนี้หรอก ตื่นได้แล้ว บางครั้งคุณอาจเจอคนแบบ เฮ้อ...ดีไปซะทุกอย่าง...แต่...
·       ซกมก สกปรกเป็นที่สุด
อย่างนี้ ถ้าจะไปด้วยกันได้ ทั้งสองฝ่ายต้องปรับตัวเข้าหากัน เช่น สกปรกตามเขาไปด้วย หรือไม่ก็สกปรกให้มากกว่าไปเลย แบบนี้ อาจกระตุ้นให้เขารักสะอาดขึ้นมาก็ได้
·       น่าเบื่อเหลือเกิน
ถ้ามองในแง่ดีเข้าไว้ คนน่าเบื่อก็ดีไปอย่างนะ อย่างน้อยคุณก็เชื่อมั่นได้ว่าเขาจะไม่ผีเข้าผีออก บุคลิกไม่หลุกหลิกและไม่ เจ้าชู้ประตูดิน อยากจะไปสีหรือไปหลีใคร ก็ยากที่จะมีใครสน ยกเว้นแต่คนชอบของแปลก
·       ขี้เหนียวเป็นกะละแม
รายนี้ควรคู่กับยอดนักช็อป เพราะความสุดขั้วของทั้งคู่จะได้ถ่วงดุลกันไว้ แบบหยินหยางไงล่ะ แล้วจะหาว่าคุย รักกับคนขี้เหนียวก็ดีไปอย่าง เพราะมีแววว่าอนาคตจะรวย
แต่หากในชั่วชีวิตที่รักกัน เขาตระหนี่จนแทบรับไม่ไหว ก็อย่าเพิ่งตีตัวออกห่าง คิดให้ไกลเข้าไว้ก่อน เพราะถ้าวันใดเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา ก็ถึงคราที่คุณจะได้ผลาญเงิน เพื่อขจัดความกดดันที่มีอยู่เสียที

ความรักคือ การยอมรับข้อเสียของอีกฝ่ายให้ได้ หากรับไม่ได้ ย่อมไม่เรียกว่าเป็นคู่รัก

ความรักกับสุขภาพจิต

         ความรัก เป็นคำที่มีความหมายได้หลายอย่างและมีได้หลายรูปแบบ คำที่มีความหมายในกลุ่มเดียวกัน ได้แก่ ความชอบ ความสนใจ ความพึงพอใจ ความดึงดูดใจ ความหลงใหล ความคลั่งไคล้ ความลุ่มหลง
จอห์น ลี (John Lee) ได้เขียนหนังสือชื่อ The colors of love แยกความรักออกเป็น 6 ชนิดคือ
1. Eros เป็นความรักที่มีความใคร่เกี่ยวข้องและมีความปรารถนาที่จะรวมกับบุคคลที่รัก
2. Mania เป็นความคลั่งไคล้ และมีความต้องการสูง ซึ่งมักก่อให้เกิดความเจ็บปวด และความวิตกกังวลเพราะมีความต้องการความสนใจจากอีกฝ่ายหนึ่งมากอย่างไม่สิ้นสุด
3. Ludis เป็นความรักในลักษณะคล้ายกับต้องการชนะการแข่งขัน เพื่อสนองความหลงตัวเอง หรือความเห็นแก่ตัว
4. Storge เป็นความรักแบบเพื่อน เป็นความรักที่สงบและแน่นแฟ้นระหว่างเพื่อนสนิท
5. Agape เป็นความรักที่มีแต่ความเมตตา อดทนและให้อภัยเสมอ
6. Pragma เป็นความรักที่มีเหตุผล และได้พิจารณาตรึกตรองดีแล้ว
ความรักของคนเราที่มีต่อบุคคลต่างๆ จึงไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน และอาจมีรูปแบบแตกต่างกันได้ เช่น ความรักต่อพ่อแม่ ความรักต่อลูก ความรักต่อเพื่อน ความรักแบบหนุ่มสาว ความรักต่อสังคมและประเทศชาติ ฯลฯ

แฮทฟิลด์ และวอลสเตอร์ (Hatfield and Walster) กล่าวถึงความรัก 2 ชนิดคือ

1. Passionate love เป็นความรักที่มีความใคร่เป็นส่วนสำคัญ และมีอารมณ์หลายอย่างเกี่ยวข้อง ทั้งความอ่อนโยน ความสนุกสนานครื้นเครง ความเจ็บปวด ความวิตกกังวล ความสบายใจ ความเสียสละและความหึงหวง
2. Companionate love เป็นความรักแบบมิตรและมีความผูกพัน มีความเข้าใจ และห่วงใยในสวัสดิภาพของคนที่รัก ความรักแบบนี้มีอารมณ์รุนแรงน้อยกว่า

มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งเสริมให้คนเกิดความรักบุคคลอื่นได้ง่ายขึ้น การวิจัยพบว่า โอกาสในการเกิดความรักขึ้นกับปัจจัยต่างๆ คือ
1. ความใกล้ชิด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเกิดความรักกันได้ง่ายขึ้น คนที่อยู่ใกล้ชิดกันหรือทำงานร่วมกัน จึงมักกลายเป็นเพื่อนสนิท เป็นคนรัก หรือแต่งงานกัน ทั้งนี้เพราะความใกล้ชิดทำให้คนมีโอกาสผ่านประสบการณ์ต่างๆ ที่ดีๆ ร่วมกันได้มาก
2. ความดึงดูดใจทางกายภาพ คนที่มีรูปร่างหน้าตาดี มีโอกาสที่คนจะมาหลงรัก มากกว่าคนที่ไม่สวย ไม่หล่อ ทั้งนี้เพราะความสวยงามเป็นสิ่งที่คนทั่วไปปรารถนา และค่านิยมของคน มักมีความภูมิใจที่มีคู่ควงหน้าตาดี อีกทั้งมักมีใจเอนเอียงจะเชื่อว่า "ความสวยคือความดี" หรือ "คนสวยเป็นคนดี" อยู่แล้ว คนสวยทำอะไรจึงมักได้รับความชื่นชม ทำผิดก็ได้รับการอภัย
3. ความเหมือนหรือคล้ายกัน คนเรามักชอบคนที่มีหลายๆ สิ่งคล้ายคลึงกัน เช่น นิสัยใจคอ ค่านิยม งานอดิเรก รสนิยม เจตคติ ฯลฯ เหตุผลอาจเป็นเพราะมีความรู้สึกว่า จะสามารถเข้ากันได้ง่ายกว่า มีอยู่บ้างที่บางคนอาจชอบคนที่มีลักษณะแตกต่างจากตน แต่ก็ต้องเป็นแบบที่เข้ากันได้ คล้ายกับการต่อภาพให้สมบูรณ์
การรักชอบบุคคลที่มีความคล้ายตัวเองนั้น อย่างน้อยก็เป็นการเสริมความรู้สึกภูมิใจว่าตนเองนั้นใช้ได้ บางครั้งความเหมือนกันอาจมีน้อยกว่าที่เป็นอยู่ในความเป็นจริง แต่ความเอนเอียงทำให้รับรู้ว่าคนที่รักนั้น คล้ายกับตัวเองมากกว่าที่เป็นจริง เมื่อใกล้ชิดกันแล้วก็อาจพยายามโน้มน้าวให้คนรักมีการปฏิบัติตัว และเปลี่ยนเจตคติให้เหมือนตนยิ่งขึ้นอีก
ในกรณีที่คนบางคนมีความสนใจชอบพอคนอื่นในลักษณะที่ต่างจากนี้ เช่น รักคนที่มีความแตกต่างกันมากๆ ทั้งฐานะทางสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา อายุ เชื้อชาติ คงต้องหาคำอธิบายที่มีเหตุผลเพียงพอ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นด้วยปมบางอย่างที่อยู่ในจิตไร้สำนึกของเขา
ความรักเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในชีวิตของคนทุกคนและมีความสัมพันธ์กับสุขภาพจิต คนที่เกิดมาได้รับความรักจากพ่อแม่และบุคคลในครอบครัวอย่างเหมาะสม มักมีพัฒนาการทางจิตใจที่ดี และเติบโตเป็นคนที่มีสุขภาพจิตดี
คนที่มีสุขภาพจิตดี ต้องรู้จักให้และรับความรักอย่างเหมาะสม เริ่มตั้งแต่รักตัวเองเป็น รักพ่อแม่ญาติพี่น้อง รักเพื่อน รักคู่ครอง รักลูกและรักเพื่อนมนุษย์ ตลอดจนรักเพื่อนร่วมโลกอื่นๆ ด้วย
คนที่รักใครไม่เป็น หรือชิงชังคนทั่วไปหมด เป็นคนที่มีสุขภาพจิตไม่ดีอย่างแน่นอน และมักมีพยาธิสภาพที่เกิดจากพัฒนาการในวัยเด็ก
เด็กเล็กๆ เรียนรู้ความรักจากพ่อแม่ เด็กสามารถรู้สึกได้ถึงความรักของพ่อแม่ที่แสดงต่อลูก เมื่อได้รับความรักอย่างเหมาะสม ก็เริ่มเรียนรู้ที่จะรักพ่อแม่บ้าง ส่วนใหญ่แล้วในตอนเล็กๆ มักเป็นความผูกพัน ร่วมกับความต้องการพึ่งพิง (dependency need)
เมื่อโตเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มเรียนรู้ที่จะรักเพศตรงข้าม โดยมีแรงขับทางเพศเป็นส่วนประกอบ ความรักของวัยรุ่น มักมีอารมณ์เป็นพื้นฐาน ยังไม่มีการใช้เหตุผลมากนัก จึงยังไม่จริงจังและมักเปลี่ยนแปลงได้ ความรักแบบนี้จึงคล้ายกับการเล่น ซึ่งอาจเกรียกว่าความรักแบบลูกสุนัข (puppy love)
ความรักที่มีเหตุผล จะเกิดขึ้นเมื่อคนมีพัฒนาการจนมีวุฒิภาวะ (maturity) จึงรู้จักใช้ความคิดพิจารณาเหตุผล และตัดสินใจรักบุคคลที่เหมาะสม ความรักแบบนี้จึงเป็นแบบที่ไม่มีพิษมีภัย สามารถให้คำอธิบายได้ว่า ทำไมจึงรักมิใช่เพียงแค่รู้ว่ารักคนนั้นคนนี้ แต่ไม่สามารถตอบได้ว่า ทำไม
ความรักแบบมีความใคร่ร่วมด้วย มักก่อให้เกิดความคาดหวังสูง การที่มีอารมณ์หลายอย่างเกี่ยวข้อง มักทำให้เกิดความสับสนได้ง่าย และถ้าประสบความผิดหวังก็อาจมีปฏิกิริยารุนแรง
คนที่คิดจะมีความรัก ควรรู้จักประเมินตนเองก่อนและเลือกรักคนที่เหมาะสม โดยต้องไม่คาดหวังสูงเกินไปและเตรียมใจไว้เผื่อความผิดหวังบ้าง ความผิดหวังในความรัก หรืออกหัก เป็นประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่เคยพบมาบ้างในชีวิต แต่ปฏิกิริยาต่อการอกหัก มักไม่รุนแรงและมีระยะเวลาจำกัด
คนที่อกหักและฆ่าตัวตาย เกิดขึ้นเพราะคนนั้นมีพยาธิสภาพในจิตใจของเขาเอง ซึ่งมีได้หลายรูปแบบ เช่นไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่หรือใครอื่น จึงมาคาดหวังจากบุคคลอื่น และทุ่มเทมากเกินไป การถูกสลัดรัก อาจเป็นการรื้อฟื้นความรู้สึกว่าถูกรังเกียจ (rejection) ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในชีวิตเขา
ความรักเป็นประสบการณ์ที่สำคัญของชีวิตเราทุกคน เป็นกลไกลสำคัญที่ทำให้ชีวิตบนโลกดำเนินต่อไป และมีการสืบเผ่าพันธุ์
จงรู้จักรักให้เป็น และใช้ความรักในทางที่สร้างสรรค์ สุขภาพจิตก็ดีจะดีครับ

ความรักกับความใคร่

ผมและเพื่อนๆ นั่งคุยกันเรื่องความรักของผู้ชายกับผู้หญิง เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้นว่า ความรักกับความใคร่เหมือนกันหรือไม่ ถ้าไม่เหมือนกัน ทำไมเราจึงอยากนอนกับคนที่เรารัก บางครั้งถึงกับเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ หรือไม่ก็สร้างจินตนาการต่างๆ นานา

พอจบคำถามทุกคนก็หันมามองผมแบบ “เอ็งตอบ” ในฐานะที่เป็นผู้ขยันสรรเรื่องมาเล่า ผมก็เลยกระแอมกระไอให้สมบทบาทที่เพื่อนตั้งให้เป็นผู้เชี่ยวชาญราคะศาสตร์ พูดถึงเรื่องทางจิตวิทยา คนส่วนใหญ่ก็จะคิดถึง ฟรอยด์ เขาผู้นี้แหละเจ้าของทฤษฎีว่า
มนุษย์เรามีส่วนดิบที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด 2 อย่าง ได้แก่ ความต้องการทำลายล้างผลาญกับความต้องการสมสู่ หรือความใคร่นั่นเอง มนุษย์ที่เจริญแล้วความต้องการทั้งสองอย่างจะถูกควบคุมให้ออกมาในรูปที่สังคมยอมรับ ความต้องการทำลายออกมาในรูปของสงคราม การกีฬา การแข่งขัน ความต้องการสมสู่ออกมา ในรูปของการแต่งงานมีครอบครัว ความใคร่แตกต่างจากความรัก ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นความรักชนิดไหน ความรักระหว่างผู้ชายและผู้หญิงเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งจรรโลงโลก จรรโลงมนุษย์ และเป็นกระบวนการ เพราะเมื่อเกิดความรักแล้ว ส่วนที่ดิบในเรื่องความใคร่ของมนุษย์ที่ไม่ได้หายไปไหน จะแสดงอิทธิฤทธิ์ ทำให้เกิดความปรารถนาที่จะได้สมสู่กับคนที่รัก มนุษย์ผู้เจริญแล้วก็จะปฏิบัติในทางที่สังคมยอมรับ แล้วแต่สังคมใครสังคมมัน แต่ถ้าเกิดความใคร่โดยไม่มีความรัก ทีนี้ก็ยุ่งล่ะสิ ปล่อยให้อารมณ์ดิบพาไป เที่ยวลากใครต่อใครไปทำมิดีมิร้าย ที่จริงคำนี้ไม่ถูก ไม่ดีแล้วก็ไม่ร้าย เท่ากับเจ๊ากันไป จะเจ๊าได้ยังไงครับ เพราะผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียหายยับเยิน (คำพูดนี้จะต้องเกิดก่อนที่ผู้หญิงจะลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิเท่าเทียมผู้ชายแน่ๆ คำพูดที่แสดงถึงความด้อยโอกาส และการถูกกดขี่แบบนี้มีให้เห็นอยู่มากมาย ฉะนั้น การที่คุณเธอทั้งหลาย ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ์ก็อย่าไปหมั่นไส้เธอเลยครับ) ที่จริงควรจะพูดว่า ลากไปข่มขืน และถ้ายิ่งมีความดิบต้องการทำลายอยู่ด้วย พอข่มขืนเสร็จก็ฆ่าทิ้งเสียเลยปลอดภัยดีด้วย ส่วนคู่ที่แต่งงานกันปฏิบัติถูกต้องตามประเพณี ถ้าเป็นคนผิดปกติ ความดิบในการทำลาย แทนที่จะออกทางกีฬาดันมาออกพร้อมๆ กับความใคร่ เพื่อนดิบของมัน ใครเป็นคู่นอน เป็นเจ้าสาว เป็นเมียก็กรรมเท่านั้น ร่วมรักกันคราใด เป็นเจ็บตัวครานั้น ที่เราเรียกว่า ซาดิสม์ ไงครับ คุณเชื่อไหมครับว่าประวัติของคำนี้เกิดจากกระทาชายนายหนึ่งนามว่า Marquist De Sade มีพฤติกรรมชอบทำร้ายคู่นอนให้ได้รับความเจ็บปวดทรมานก่อนที่จะร่วมรัก แถมยังกล้าหาญชาญชัยเปิดเผยพฤติกรรมของตนออกมาให้สาธารณชนทั้งหลายทราบ เขาก็เลยได้รับเกียรติเรียกพฤติกรรมวิตถารนี้ตามชื่อของเขา แต่เติมคำว่า ซาดิสม์ ใช้เรียกเฉพาะพฤติกรรมที่ทำร้ายคู่นอน เพื่อให้เกิดอารมณ์ทางเพศเท่านั้นนะครับ แต่ปัจจุบันนำมาใช้ผิดๆ กับพฤติกรรมโหดร้ายทารุณทุกรูปแบบ จนกลายเป็นคำที่ยอมรับและใช้กันทั่วไป ยังไม่หมดนะครับเรื่องการได้รับเกียรติเอาชื่อไปตั้งเป็นชื่อพฤติกรรมความใคร่วิตถารอย่างเช่น Leopold Von Sacher Masoch นักเขียนนวนิยายก็เป็นคนแรกที่เปิดเผยพฤติกรรมที่คล้ายๆ กับซาดิสม์แต่แทนที่จะทำร้ายคู่นอนกลับทำร้ายตัวเองหรือทำให้ตัวเองเจ็บปวดก่อนแล้วจึงจะเกิดอารมณ์ทางเพศ พฤติกรรมนี้จึงเรียกว่า มาโซกิซ อิทธิฤทธิ์ของความดิบในเรื่องความใคร่ทำให้พฤติกรรมทางเพศยุ่งนุ่งนังกันไปหมด อธิบายด้วยตัวอย่างจริงก็แล้วกันนะครับ จะได้เข้าใจง่ายขึ้น ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งมีเพศสัมพันธ์กับอาจารย์สาวก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์กัน ทั้งคู่จะต้องแต่งชุดสีดำ อาจารย์สาวจะต้องเฆี่ยนตีท่านศาสตราจารย์ด้วยแส้จนเจ็บปวดครวญคราง เนื้อตัวเป็นริ้วรอย แล้วจึงมีเพศสัมพันธ์ถึงสวรรค์ชั้นฟ้ากันด้วยความสุขทั้งคู่ อาจารย์สาวเกิดอารมณ์เมื่อได้เฆี่ยนตีท่านศาสตราจารย์ได้รับความเจ็บปวด แสดงว่าเธอเป็น ซาดิสม์ ใช่ไหมครับ ส่วนตัวท่านศาสตราจารย์เองต้องเกิดความเจ็บปวดก่อนจึงเกิดอารมณ์ทางเพศ แสดงว่าท่านเป็น มาโซกิซ ใช่ไหมครับ น่าแปลกที่ที่คนคู่นี้มาเจอกันได้ราวกับผีจับแปะ พฤติกรรมคู่วิตถารสมบูรณ์แบบชนิดนี้เรียกว่า S&M ย่อมาจาก Sadomasochism และพฤติกรรมวิตถารพวกนี้มักจะต้องมีตัวช่วยได้แก่ อุปกรณ์ต่างๆ เช่น แส้ ไม้เรียว เชือกหนัง เครื่องแต่งกายทำด้วยหนังสีดำ เสื้อผ้าสีดำ เป็นต้น เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวว่าชายเฒ่าคนหนึ่ง จะอยู่ประเทศใด ไม่แจ้ง เกิดพิศวาสไก่ที่เลี้ยงไว้จึงจัดพิธีแต่งงานกับไก่ มีการส่งตัวเข้าห้องเข้าหอกันด้วย อยู่มาได้แค่ 3 วันก็ซี้ เพื่อนที่ฟังอยู่ทุกคนถามขึ้นพร้อมกันว่าคนหรือไก่ตาย คนสิครับ ส่วนไก่นั้นข่าวไม่แจ้งว่าหลังจากเป็นม่ายแล้วแต่งงานกับใครอีกหรือเปล่า หรือว่าลงหม้อแกงไปตามระเบียบ เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนไข้หวัดนกระบาด เฒ่าจึงไม่ได้ตายเพราะไข้หวัดนกแน่ๆ สำหรับเมืองไทยเราก็ไม่น้อยหน้า เมื่อต้นเดือนแห่งความรักที่ผ่านมานี้เอง ชายไทยได้ถูกความใคร่เล่นงานเอา หลังจากกรึ่มเหล้าจนได้ที่ จะไปเที่ยวผู้หญิงก็กลัวเอดส์ จะลากอีหนูข้างบ้านมาข่มขืนก็กลัวครูยุ่น หันไปหันมาเห็นอีด่างยืนมองอยู่ คิดว่ามันให้ท่า จึงตรงเข้าปลุกปล้ำอีด่างพัลวัน อีด่างหาเป็นใจด้วยไม่ ต่อสู้สุดฤทธิ์ แถมเพื่อนหมาก็มาช่วยรุมกัด หน้าตาเนื้อตัวยับเยินไปด้วยเขี้ยวหมา หาความหล่อไม่ได้อีกเลย เห็นไหมครับ ว่าความใคร่ถ้าปราศจากความรักก็จะมีแต่ความกักขฬะ หยาบช้าวิตถารน่ารังเกียจ แม้แต่หมาก็ยังไม่เล่นด้วย เรื่องของความใคร่ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมวิตถารยังมีอีกมากมาย ไว้ผมจะเล่าให้ฟังโอกาสหลัง ปะเหมาะใครบางคนอาจจะมีพฤติกรรที่พิศดารยิ่งไปกว่าที่เปิดเผยกันมาแล้ว และได้รับเกียรตินำเอาชื่อไปตั้งบ้าง ก็จะทำให้คนไทยดังกันคราวนี้แหละ ก็ที่เขาดังกันทางกีฬา ลึกลงไปก็เกิดจากดิบตัวหนึ่ง ถ้าจะดังเพราะดิบอีกตัวก็ไม่เห็นน่าจะเสียหาย จริงไหมครับ หรือว่าไม่จริง ความใคร่ทั้งหมดที่พูดมาดูจะเป็นความใคร่ของเพศผู้เพียงเพศเดียว ผู้หญิงไม่มีความใคร่เลยหรือไง มีแน่นอนครับ แต่เนื่องจากบทบาทของสังคมและสภาวะทางร่างกายไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงปลดปล่อยผีดิบของเธอ ออกมาง่ายๆ อย่างผู้ชาย ก็ดูแค่นักร้องผิวดำ น้องไมเคิล แจ็คสัน แพลมผีดิบของเธอผ่านทางเต้าแค่ข้างเดียว ยังเป็นข่าวถูกประณามหยามเหยียดกันไปทั้งโลก แล้วหน้าไหนจะกล้าลุกขึ้นมาปล้ำหมาแบบผู้ชายล่ะ และโดยธรรมชาติก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว จำกรณีครูผู้หญิงปล้ำนักเรียนชายได้ไหมครับ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ความจริงจึงเปิดเผยออกมาว่าเป็นเรื่องกลับตาลปัตร ยังไงก็ตามก็มีผู้ชายแบบคุณ แบบผม นี่แหละครับที่ต่างก็ยอมรับกันว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่มีเสน่ห์น่ารักน่าใคร่ ความใคร่ของเธอก็น่ารักด้วย เรื่องนี้สามีเท่านั้นแหละที่รู้ดีว่าเมียตู... แต่ก็ไม่มีสามีคนไหนที่คิดจะเอาเรื่องบนเตียงของเมียมาพูด เพราะถือว่าเป็นของสูง มิบังควรนำมาพูดเล่น คราวนี้มาพูดถึงเรื่องความรักบ้าง ความรักเป็นสิ่งสวยงาม เป็นแต่สิ่งที่ดีไม่เชื่อลองไปเปิดหนังสือ ความรักคืออะไร ดู เขารวบรวมไว้จากการที่เอาไมค์ไปจ่อปากถามใครต่อใคร มีทั้งคนดัง ดารา และคนเดินดินกินอาหารแดกด่วนทั้งไทยและเทศ มีอยู่ตั้งหลายเล่มโดยเฉพาะช่วงวันวาเลนไทน์ ล้วนแต่เป็นเรื่องดีๆ ทั้งนั้น
ความรักของผู้ชายและผู้หญิงที่ต่างฝ่ายต่างรักกันเปรียบเสมือนคนสองคนที่ยื่นมือออกมาจับกัน และตระหนักดีว่าถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปล่อยมือ อีกฝ่ายก็ล้ม ถ้าความรักคือความต้องการให้คนที่เรารักมีความสุข ปราศจากความเจ็บปวด ต่างฝ่ายต่างก็จะจับมือกันแน่น ไม่ยอมปล่อย ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยกัน คือทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างยอมรับซึ่งกันและกัน การยื่นมือออกมาหากันคือการปรับตัวเข้าหากัน หลายคู่ที่ยื่นมือออกมาไม่ถึงกัน คือปรับตัวเข้าหากันไม่มากพอหรือปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นออกมาแต่เพียงฝ่ายเดียว อย่างเช่น ผู้หญิงที่แต่งงานกับผู้ชายที่เจ้าชู้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้มาก่อนว่าเขาเจ้าชู้ แต่ที่ตกลงปลงใจด้วย เพราะเกิดความภาคภูมิใจที่เขาเลือกหล่อนและเกิดสติหลอนว่าในเมื่อเขารักหล่อน เขาก็จะต้องหยุดอยู่ที่หล่อน ฉะนั้นเขาต่างหากเป็นฝ่ายที่จะต้องยื่นมือออกมา หล่อนเป็นฝ่ายยืนกอดอกเฉยๆ ก็พังเท่านั้นสิครับ ต่อให้ติดสติ๊กเกอร์หลังรถ รวมกันเราอยู่ ทิ้งกูมึงตาย ก็ไม่ช่วยหรอกครับ คู่รักที่ต่างฝ่ายต่างยื่นมือออกมาจับกัน เมื่อแต่งงานกันก็จะเป็นคู่สมรสที่สมรัก เป็นพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกให้เป็นคนดีของสังคม ความรักมีอานุภาพมากนะครับ ไม่ใช่แค่ช่วยสร้างชาติสร้างพันธุ์ให้เจริญพัฒนาเท่านั้นยังมีอานุภาพเป็นยารักษาโรคอีกด้วย เรื่องนี้คุณหมอทั้งหลายทราบดี คนที่มีความสุขร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดฟิน ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรค คนที่เจ็บป่วยถ้ามีผู้แสดงความรัก ความเอาใจใส่ก็จะหายเร็วกว่าคนที่ไม่มีใครสนใจ ขนาดเป็นมะเร็ง เป็นอัมพาต ก็ยังหายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ฉะนั้นจงรักกันไว้เถิดครับ ต่อให้รักแล้วเกิดความใคร่ก็เป็นความใคร่ที่เชื่องเหมือนปลาวาฬพิฆาตที่ถูกฝึกปรือ จนกลายเป็นดาราเอกของสวนสนุกทำเงินได้มากมายมหาศาล ไม่ดิบเที่ยวปล้ำหมู หมา กา ไก่ ให้ตกเป็นข่าวว่าเป็นคนขาดรัก อายเขาไปทั่วโลก

ความรัก…ฐานรากของชีวิตคู่

คนเรานั้นเกิดมาเพื่อที่จะแสวงหาใครสักคนมาเป็นคู่ครอง คู่คิด และคู่ชีวิต หลายต่อหลายคู่ประสบความสำเร็จในการนำพาเอานาวารักฝ่าคลื่นลมและมรสุมต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตคู่จนบรรลุฝั่งฝันที่ปรารถนา เหมือนดังคำที่ผู้ใหญ่อวยพรว่า …ขอให้อยู่ด้วยกันไปจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร แต่หลายต่อหลายคู่นาวารักก็อับปางลงกลางมหานทีท่ามกลางพายุร้ายที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตคู่ และไม่สามารถที่จะประสานสัมพันธ์กันจนฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้ จากกันไปด้วยคำอธิบายง่ายๆ ว่า …เราไปด้วยกันไม่ได้

ชีวิตคู่ที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความผูกพัน และความเข้าใจกันเท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตสุขสมราบรื่น คนสองคนที่มาใช้ชีวิตคู่ด้วยกันจะต้องพยายามเข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคารพนับถือซึ่งกันและกัน รวมทั้งให้อภัยกันในยามที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำอะไรที่ผิดพลาดลงไป การคำนึงถึงประโยชน์ของคนที่ตนรักเป็นลำดับแรกจึงเป็นความรักที่สามารถมอบให้แก่กันตลอดเวลา ต่างจากการต้องการให้คนรักทำอะไรให้ ซึ่งเป็นความรักในรูปแบบที่ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่เป็นผู้ใหญ่ คิดถึงตนเองก่อน โดยแบบนี้เมื่อไม่ได้ดังที่หวังก็จะเกิดการผิดหวังและขาดรัก อันนำไปสู่พฤติกรรมตามมาซึ่งจะทำให้ชีวิตคู่ต้องอับปาง เพราะการมีรักแท้นั้น เมื่อมีแล้วจะบังเกิดความสุขที่ได้ทำอะไรบางสิ่งบางอย่างให้คนที่ตนรัก โดยไม่ได้หวังว่าจะได้อะไรกลับคืนมานอกจากความรัก
ในรักแท้นั้น เมื่อให้ความรักไป…ก็จะได้ความรักมา แต่ในความหลงนั้น จะเป็นความหลงที่อยากได้แต่ความรักจากคนรัก แต่ไม่ได้ให้ความรักตอบแทนกลับไป เมื่อความหลงหมดไปและยังไม่มีความรักกลับมา สัมพันธ์ที่เปราะบางซึ่งอยู่บนฐานรากของความหลงก็ย่อมจะสิ้นสุดลงไป ความรักนั้นแสดงออกได้ในหลายรูปแบบ และคนที่มีชีวิตคู่ร่วมกันนั้น จะต้องพยายามที่จะแสดงความรักออกมาในรูปแบบที่คนรักอยากได้ อย่างน้อยก็ต้องแสดงความพยายามที่จะแสดงความรักออกมา!! ลองมาพิจารณาวิธีการแสดงความรักในแบบต่างๆ กันดูไหมว่า ควรจะแสดงความรักที่มีต่อกันแบบไหนดี
1. ความรักในรูปแบบที่ต้องการการสัมผัส
เป็นความรักของหนุ่มสาวที่โหยหาการสัมผัสทางกายต่อกัน สานสร้างสัมพันธ์จากการมีสัมพันธ์สวาททางกาย เพื่อที่จะสุขสมร่วมกัน อยากที่จะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา อยากจะสัมผัสร่างกายของกันและกัน ด้วยความคิดว่าจะสามารถ่ายทอดความรักให้แก่กันได้จากการร่วมรักกามารมณ์จึงเป็นฐานรากของชีวิตคู่ในระยะแรกของความสัมพันธ์ กามารมณ์เป็นสัมผัสรักที่จับต้องได้ เป็นสีสันแห่งความรักของหนุ่มสาวที่แรกรักกัน แต่ชีวิตคู่ที่ยืนยาวนั้น จะต้องมีการพัฒนาความรักไปให้มากกว่านั้น
2. ความรักแบบโรแมนติก
กล่าวกันว่า ความรักของผู้หญิงนั้นเป็นแบบ "โรแมนติก" แต่ความรักของผู้ชายเป็นแบบ "อีโรติก" ในการมีความสัมพันธ์กันนั้น ผู้หญิงจะคิดถึงการแสดงความรักด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ผู้ชายจะคิดถึงบทพิศวาสในรูปแบบของอีโรติกมากกว่า ผู้หญิงจึงต้องมีความรักเป็นรากฐานก่อนที่จะมีอารมณ์พิศวาสและสุขสมจากบทพิศวาสที่มอบให้แก่กัน ส่วนผู้ชายนั้น จะอยากระบายความรักออกไปผ่านการร่วมรักที่อบอุ่นและสุขสม ด้วยความอยากที่จะระบายความรักออกไปนี่แหละที่ทำให้ท่วงท่าลีลารักของพวกเขาเร่าร้อน ดุดัน และหลั่งเร็ว หลั่งเร็ว…จึงเป็นปัญหาของผู้ชายเกือบทุกคน ไปไม่ถึงจุดสุดยอด… จึงเป็นปัญหาของผู้หญิงเกือบทุกคนเช่นกัน เมื่อผ่านความรักแบบโรแมนติค และอีโรติกไปแล้ว ความรักในแบบต้องการใช้ชีวิตร่วมกันก็มาเยือน
3. ความรักแบบต้องการครองคู่
การอยู่ร่วมกันเป็นความปรารถนาอย่างยิ่งยวดของชายและหญิงที่รักกันและอยากสร้างครอบครัวร่วมกัน อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ทำอะไรร่วมกัน มีพันธะผูกพันกัน อยากเห็นกันตลอดเวลาที่มีโอกาส แต่หลายต่อหลายคู่ กลายเป็นความรักที่พึ่งพาไป และรู้สึกเหมือนจะขาดกันไปไม่ได้ ซึ่งก็จำเป็นต้องปรับปรุงเพราะในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันนั้น ความต้องการที่จะอยู่ร่วมกันตลอดเวลานั้นเป็นไปไม่ได้ จึงต้องมีการพัฒนาความรักต่อไปเป็นความรักในรูปแบบที่ผูกพันแต่ไม่พึ่งพา
4. ความรักแบบสัญญาใจ
เป็นความรักแบบเข้าใจกัน ไว้ใจกัน ผูกพันกัน โดยไม่ต้องพึ่งพา แม้ว่าจะไม่มีคนรักอยู่ข้างกายก็เหมือนมี ไม่มีความรู้สึกอ้างว้าง ว้าเหว่เดียวดายหรือถูกทอดทิ้ง เพราะมีอีกคนอยู่เสมอในใจที่แสนจะเป็นสุขเพราะมีคู่ชีวิตที่มีสัญญาใจต่อกัน สัญญาว่าเราจะครองคู่กันไปตราบจนลมหายใจสุดท้ายแห่งกาลเวลา
คู่ครองในฝัน…ที่เป็นจริง
ชายหญิงใดที่สามารถแสดงความรักออกได้ด้วยวิธีการต่างๆ ตามความเหมาะสม โดยสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและวัยที่เปลี่ยนแปลงย่อมจะมีชีวิตคู่ที่เป็นสุข เพราะตามธรรมชาติแล้วถ้าจะเปรียบชีวิตคู่เหมือนดอกกุหลาบ… ชีวิตคู่ในระยะแรก ก็ร้อนแรงเช่นเดียวกับกุหลาบแดง…ที่แจ้งรักนั่นเอง ต่อเมื่อได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันไปสักระยะหนึ่งแล้ว ความรักในรูปแบบของความสัมพันธ์ฉันเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจก็จะเกิดขึ้น ชีวิตคู่ในระยะกลางๆ จึงเหมือนดอกกุหลาบสีชมพู ที่งามสดใส มองแล้วมีความสุข ซึ่งถ้าอยากให้ชีวิตคู่ราบรื่นต่อไปแล้วก็จะต้องพัฒนาต่อไปให้เป็นดอกกุหลาบสีขาว… ตัวแทนของความบริสุทธิ์ มีแต่ความบริสุทธิ์ใจมอบให้แก่กัน และจำไว้เสมอว่า
สำหรับผู้หญิงนั้น…ชายในฝันของเธอน่าจะมีคุณสมบัติดังนี้
·       เป็นพ่อของลูก เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว เป็นแฟมิลีแมนที่ดูแลครอบครัว และทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อครอบครัวของเขา
·       เป็นคนที่มอบความรัก ความอบอุ่น ความมั่นคงอย่างจริงใจต่อเธออย่างสม่ำเสมอไม่เปลี่ยนแปลง แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป
·       เลี้ยงดูอุปการะเธอ ดูแลเธอยามเจ็บไข้ได้ป่วย ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเธอ
ส่วนผู้หญิงในฝันที่ผู้ชายอยากจะได้มาเป็นคู่ชีวิตนั้น คุณสมบัติต่อไปนี้น่าจะเป็นที่ผู้ชายทั่วไปอยากจะได้และอยากจะมี
·       เป็นแม่ของลูก เป็นผู้หญิงที่เขาสามารถพาไปไหนต่อไหนได้ สามารถยืนเคียงข้างกับเขาทั้งในยามสุขและยามทุกข์
·       เป็นคนที่คอยปลอบอกปลอบใจเขายามผิดหวัง ให้กำลังใจเขาในการที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อที่จะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตต่อไป
·       เป็นคนที่สามารถร่วมรักกับเขาได้อย่างสุขสม เพราะเขาบอกรักผ่านการมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งทางกายนั้น กับผู้หญิงคนที่เขารักและรักเขาเสมอ และเมื่อเกิดความสุขสมแล้ว ความรักของเขาก็จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
ลองพิจารณาดูการแสดงความรักต่อกันและพยายามเป็นคู่ครองในฝันของกันและกันให้ได้ เพราะชีวิตคู่สุขสมนั้นมักจะ…ยืนยาวและสุขภาพดี!

ความมั่นใจในตนเอง

มีรายการหนึ่งมาสัมภาษณ์เรื่อง การสร้างความมั่นใจให้ตนเอง ขณะนี้คนขาดความมั่นใจกันมาก ทั้งในแง่ธุรกิจ การงาน การศึกษา สังคมและครอบครัว คนจึงมีอาการโลเล ลังเล ไม่มั่นใจ วิตก กังวล ระแวง ว่าที่คิดไปแล้วนั้นถูกหรือผิด ที่ทำไปแล้วนั้นใช่หรือไม่ จะคบใครก็ไม่แน่ใจว่าจะคบดีหรือไม่ จะลงทุนก็ไม่กล้าลงทุน กลัวสิ่งนั้นกังวลสิ่งนี้ ดูๆ แล้วผู้คนในสังคมกำลังขาดความมั่นใจกันขึ้นทุกวันๆ

ผมให้สัมภาษณ์ไปว่า ผมอยากเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ว่าความมั่นใจของคนเรานั้น เปรียบเสมือนปริมาณทองคำแท่งในตัวของเราทุกคน บางคนมีจำนวนมาก บางคนมีจำนวนน้อย และบางคนไม่มี แต่ส่วนใหญ่จะมีอยู่แล้วทั้งนั้นในปริมาณแตกต่างกัน
คนที่จะมีความมั่นใจได้ก็คือคนที่มองเห็นคุณค่าของทองคำแท่งในตัวของตัวเอง ซึ่งมีไม่เท่ากันแต่ก็มีค่าทั้งนั้น บางคนก็มองเห็น บางคนก็มองไม่เห็นหรอกแม้จะมีอยู่มากก็ตาม หลายๆ คนมีทองคำแท่งอยู่เป็นจำนวนมากแต่ไม่เคยมอง กลับมองเห็นแต่กองขยะในชีวิต หรือสิ่งที่ไม่ดีในตัวเอง จึงไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
บางคนมีทองคำแท่งนิดเดียว แต่มองเห็นได้ชัดและตระหนักในความมีค่าของมัน เขามีความมั่นใจในตัวเองตามความเป็นจริงของเขา
นั่นก็คือคนที่จะมีความมั่นใจในตัวเองได้ คือคนที่ตระหนักในความมีคุณค่าของตนเองได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเวลานั้นทั้งดีหรือว่าเลวลง เขาก็ตระหนักในความมีค่าของเขาอยู่เหมือนเขามีทองคำแท่งอยู่ในตัวของเขา ทำให้เขามั่นใจตัวเองได้ ไม่มีความกลัว ไม่โลเล ไม่กังวล ไม่ระแวง ไม่ท้อถอย
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มักมีความมั่นใจในตัวเองตามความเป็นจริง เสมือนเขามั่นใจในทองคำแท่งในตัวเขาทุกคน ไม่ว่าจะมีมากหรือมีน้อย แต่มันก็มีค่า เมื่อเขานึกถึงความมีค่าของตัวเขาก็ทำให้เขามั่นใจ กล้าหาญ กล้าลงมือทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างดีต่อไป

ผมได้เสนอวิธีสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองง่ายๆ ดังนี้
        1. ให้นึกถึงทองคำแท่งในตัวเองเสมอๆ คือ ให้นึกถึงความดีหรือความเก่งที่ตัวเองเคยทำได้แล้วเสมอๆ แม้จะทำได้เพียงเล็กน้อยก็ใช้ได้ เช่น เคยช่วยคนยากจน เคยช่วยสัตว์ที่ลำบาก เคยทำบุญ นึกถึงเพียง 2-3 อย่างก็พอ นึกบ่อยๆ จนเกิด "ความเชื่อ" ว่าตัวเองมีค่าที่ทำสิ่งที่ดีๆ ได้แล้ว โอกาสที่จะทำความดีความเก่งต่างๆ ต่อไปอีกก็มีได้มากขึ้น เมื่อชื่นชมตัวเอง เชื่อว่าตัวเองมีค่า ก็เกิดความมั่นใจตัวเองตามความเป็นจริงได้
2. ให้หัดตัดสินใจและรับผิดชอบต่อการตัดสินใจนั้นๆ การเลือกตัดสินใจเป็นการใช้ปัญญาของมนุษย์ คนจะเลือกตัดสินใจแตกต่างกันตามประสบการณ์ ความคิด ความรู้ ความกลัว หลักง่ายๆ และให้นึกถึงความรักเพื่อนมนุษย์เข้าไปด้วย ผลของการตัดสินใจมักไม่ผิดพลาด ขอให้คิดว่าเมื่อเรา "กล้า" ตัดสินใจสักหนึ่งครั้งแล้ว โอกาสจะ "กล้า" ตัดสินใจต่อๆ ไปจะมากขึ้น เมื่อตัดสินใจแล้วก็รับผิดชอบต่อการตัดสินใจนั้น ถ้าผลออกมาดีก็ทำต่อไป ถ้าผลออกมาไม่ดี ก็ตัดสินใจใหม่ได้ เปลี่ยนแปลงได้ไม่เป็นไร และให้ถือว่าเป็นประสบการณ์ของชีวิต ชีวิตต้องมีประสบการณ์ทั้งนั้น ทั้งที่พอใจและไม่พอใจ ไม่เช่นนั้นชีวิตจะไม่มีค่าหรอก
3. ลดความกลัว คนจะนึกถึงความกลัวจนไม่กล้าตัดสินใจ และไม่มั่นใจตัวเอง จงลดความกลัว โดยให้นึกถึงคำว่า "กล้า" ให้บ่อยขึ้น บอกกับตัวเองสิว่า กล้าหาญมากขึ้นทุกวันๆ ทุกนาทีที่ผ่านไป ความกล้าหาญเป็นคุณสมบัติที่ดีของชีวิต ถ้าเรานึกว่าเรามี เราก็จะมีมากขึ้นทันที แต่ถ้าเรานึกว่าเราไม่มีความกล้า มีแต่ความกลัว เราก็จะ "เชื่อ" ว่าเราไม่กล้า มีแต่ความกลัวตลอดชีวิต
4. เลิกสงสารตัวเอง ในกรณีที่ตัดสินใจแล้วได้ผลไม่น่าพอใจ หรือคิดว่าตัดสินใจผิด
น่าจะตัดคำว่า "สงสาร" ออกไปจากคำพูดและความคิดเสีย ควรใช้คำว่า "เห็นอกเห็นใจ" จะดีกว่า ถ้าหากทำสิ่งใดแล้วไม่ได้ตั้งใจนึกก็ให้เห็นอกเห็นใจตัวเอง ไม่ซ้ำเติมตัวเอง จงให้กำลังใจตัวเองและลงมือทำใหม่ได้ ทุกอย่างจะกลายเป็นประสบการณ์ ถ้าผลออกมาดีก็ทำต่อไปตามแบบที่ทำแล้วนั้น ถ้าไม่ดีก็ให้เปลี่ยนเสีย ทำสิ่งใหม่เสีย ก็แค่นั้นเอง ขอให้นึกเสมอๆ ว่าเวลาทำอะไรให้ทำเต็มที่ ตัดสินใจแล้ว ทำเต็มที่แล้ว ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น เพราะทำเต็มที่แล้ว ให้ถือว่าเก่งมากและดีมากแล้ว ส่วนผลที่ออกมานั้นเราควบคุมไม่ได้หรอก ปล่อยไปตามธรรมชาติเถิด ไม่เป็นไรหรอก ผลเป็นอย่างไรก็ให้ยอมรับ แต่ไม่ใช่ความผิดของเรา ถ้าคิดอย่างนี้ เราจะเกิดกำลังใจและเกิดความมั่นใจ และมีความกล้าที่จะลงมือทำในสิ่งที่ควรทำตลอดไป
5. เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ทั้งกับคนที่ดีกว่าและคนที่ด้อยกว่า เพราะถ้าเปรียบเทียบตัวเองบ่อยๆ กับคนอื่น ทั้งกับคนอื่นที่เด่นกว่าหรือด้อยกว่า คุณจะไม่รักตัวเองในที่สุด หรือมีพฤติกรรมที่ไม่น่ารักตามมามากขึ้น เช่น ถ้าคุณเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่ด้อยกว่า คุณจะหยิ่ง หรือหลงตัวเองได้ง่ายๆ ไม่น่ารักหรอก หรือบางคนมัวแต่สงสารคนอื่นจนตัวเองหมดความสุข และถ้าคุณเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่เด่นกว่า คุณอาจอิจฉาเขาหรือแข่งขันมากจนไม่เป็นสุข หรือคุณอาจจะรู้สึกต่ำต้อยจนกลายเป็นปมด้อยและไม่เป็นสุกเช่นกัน จงเปลี่ยนการเปรียบเทียบเป็นการยอมรับจะดีกว่าครับ เช่น ถ้าประจักษ์ว่าเราทำได้ดีกว่าคนอื่น หรือคนอื่นด้อยกว่าก็ให้ยอมรับ และมีจิตเมตตาคนอื่นอยากช่วยคนอื่นมากขึ้น ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่ใช่ต้องทำให้ได้ทั้งหมด เพราะจะทำให้เป็นทุกข์ได้อีก
แต่ถ้าประจักษ์ว่าคนอื่นดีกว่าเราก็ให้ยอมรับ และให้รู้สึกยินดีกับเขา หรือเลียนแบบอย่างที่ดีจากเขาก็ได้ ซึ่งจะทำให้ได้มิตรภาพและความเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น ขณะนี้มีคนขาดความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ทำให้สังคม ครอบครัว และตัวเขาเองไม่มีความสุข มีหลายๆ คนมาปรึกษาที่คลินิกด้วยเรื่องการขาดความมั่นใจในตัวเองนี้ ทั้งที่หลายคนเป็นคนเก่ง หลายๆ คนจบระดับปริญญาเอก ผมต้องวิเคราะห์จากประวัติครอบครัว การอบรมเลี้ยงดูตั้งแต่วัยเด็กและสิ่งแวดล้อม แรงกระทบที่จารึกไว้ในระดับจิตใต้สำนึก ซึ่งมีแตกต่างกัน แล้วจึงแนะนำช่วยเหลือ แนะแนวคิด ซึ่งแต่ละรายจะไม่เหมือนกัน ที่เขียนแนะนำมานี้น่าจะช่วยได้ในระดับหนึ่ง ลองนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ผมอยากเห็นสังคมไทยมีคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น กล้าตัดสินใจและลงมือทำสิ่งที่เหมาะสม และรับผิดชอบต่อการกระทำนั้นได้มากขึ้น ถ้าทำไม่เหมาะ ไม่ควร ก็หยุดเสีย เลิกเสีย และทำใหม่ได้
รู้จักเมตตาคนที่ด้อยกว่า และยินดีกับคนที่เด่นกว่า จะทำให้ไม่หลงตัวและไม่เกิดปมด้อยในจิตใต้สำนึก สังคมจะน่าอยู่ ผู้คนจะน่ารักมากขึ้น
ช่วยกันฝัน ช่วยกันทำให้มากขึ้นเถิด เราจะได้อยู่กันอย่างมีสันติสุขในกลุ่มคนที่มีคุณภาพชีวิต เข้าขั้นมาตรฐานสากลมากขึ้น

ความแตกต่างของผู้หญิงและผู้ชาย

ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องของผู้หญิง แต่ผู้ชายก็ต้องอ่านด้วยนะ อย่าอ่านข้ามเลยไป เพราะในสัมพันธ์ภาพของคนเรานั้น ชายหญิงแตกต่างกันมาก ทั้งในสรีระร่างกาย ความรู้สึกนึกคิด รวมทั้งพฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงออกมา ดังนั้นการเรียนรู้ผู้ชายเข้าใจผู้หญิง จึงเป็นรากฐานของการมีสัมพันธ์ภาพที่ดี

จอห์นเกรย์ นักจิตวิทยาผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ถึงกับเขียนหนังสือที่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า คือผู้ชายมาจากดาวอังคาร และผู้หญิงมาจากดาวพระศุกร์นั่นแหละ ในสัมพันธภาพของชายหญิงนั้น ที่เป็นปัญหาคาใจเป็นประจำก็คือ ผู้ชายชอบทำ ไม่ชอบพูด ผู้หญิงชอบพูดชอบบ่น แต่ผู้ชายกลับไม่ตอบโต้เลย ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกัน และเชื่อไหมว่า ปัญหาของสัมพันธ์ภาพนั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดจากการไม่พูดจากันนั่นแหละ
ลองมา ปุจฉา วิสัชนา ความแตกต่างของผู้หญิงและผู้ชายกันก่อนจะดีไหม
ผู้หญิงนั้น สมองซีกขวาพัฒนาการมาดี เธอก็เลยมีจินตนาการค่อนข้างสูงและชอบมองดูทุกเรื่องราวในรายละเอียด ส่วนผู้ชาย สมองซีกซ้ายได้รับการพัฒนาการดีกว่า ก็เลยคิดแต่หลักการ พูดแต่หลักการ แต่พอลงในรายละเอียดแล้วก็ไม่ค่อยรู้อะไร
เลยดูเหมือนว่า ผู้ชายเป็นคนมองอะไรง่ายๆ ไม่ลึกซึ้งและละเอียดรอบคอบเหมือนผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงต้องพยายามบ่นว่า ตักเตือน ดุด่าว่ากล่าวผู้ชายของเธอเป็นประจำ เหมือนหนึ่งว่า เขาเป็นลูกคนโต... ด้วยความหวังดี
แต่โชคร้าย แทนที่เขาจะรับรู้ความหวังดีอันนั้น เขากลับเครียด เก็บกดไว้เป็นประจำ นานๆก็ระเบิดออกมาสักครั้ง และทุกครั้งเรื่องราวก็มักจะบานปลาย เนื่องจากผู้หญิงคิดว่าตัวเองทำด้วยความหวังดี แต่พ่อเจ้าประคุณกลับไม่พอใจ ผู้หญิงที่ชอบบ่นสามีทั้งหลาย ลองนึกถึงเวลาที่ตัวเองโดนมารดาอายุมากๆ บ่นดูบ้าง แล้วจะรู้ว่า... อีกฝ่ายเขารู้สึกอย่างไร ผู้ชายหลายคนถึงกับสะใจอยู่เงียบๆ เวลาที่ภรรยาโดนแม่ยายด่า!!! เอาเป็นว่า ถ้าผู้หญิงจะเริ่มพูดจาในทางสร้างสรรค์ ใช้มธุรสวาจากล่อมเกลาจิตใจของผู้ชายแล้ว ผลที่ได้รับจะมากมายมหาศาล ใครๆก็รู้ว่า น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย ทั้งสิ้น เพราะผู้ชายทั้งหลายมักจะเป็นลูกไก่อยู่ในกำมืออยู่แล้ว แค่พูดหวานๆ ให้สบายใจเท่านั้น อยากได้อะไรบอกไป รับรองได้ว่า...ได้เด็ดขาด ...นอกจากจะเลือกผู้ชายผิดมาตั้งแต่ตอนแรกๆ แบบนั้น ต้องรีบถีบส่งให้ไปไกลๆ แต่ไวๆ เพราะเก็บเอาไว้ใกล้ตัว ก็ไม่มีประโยชน์ เนื่องจากเป็นพวก เอ็น พี แอล หรือหนี้ที่ไม่ก่อประโยชน์นั่นเอง จะรักใครเขาสักคน มองเขาให้นานๆ หน่อย ศึกษาให้ดีเสียก่อน ว่าใช่แน่หรือคนนี้น่ะ ที่จะมาอยู่ด้วยตลอดไป
ดี๋ยวนี้ผู้หญิงไม่ค่อยได้ใช้จินตนาการให้เป็นประโยชน์ในการเลือกคู่ครอง มักจะใช้อารมณ์นำหน้า ไม่ค่อยสนใจเหตุผล เป็นประเภท ความรักทำให้ตาบอดจริงๆ
พอเจอชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกใจปุ๊ป ก็บอกเลยว่า ใช่แน่...คนนี้แหละดวงใจของฉัน คบกันผ่านไป 1 เดือน บอกว่า ใช่เลย ...คนนี้แหละที่เราต้องร่วมรักด้วย เพราะเขารักเรา ก็เลยเสร็จเขาเรียบร้อยไป หลายต่อหลายคนจบลงแค่นี้...เพราะเขาตีจาก เนื่องจากความคิดของผู้ชายนั้นเหมือนกันทุกคน ว่าของอะไรได้มาง่ายๆ ย่อมจะไม่มีคุณค่า หรือไม่ก็คิดว่า ถ้ายอมง่ายๆ แบบนี้แปลว่าคงจะผ่านมือชายมามากแล้ว ทิ้งเธอไปอีกคนก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอก ในเมื่อเธออุทิศบางส่วนของร่างกายเธอให้เป็นของสาธารณแล้วนี่นา จำไว้นะ สาวเอย...จะบอกให้ จะเสียสาวทั้งที ต้องเรียนรู้ว่าจะเสียอย่างไร จึงจะมีคุณค่า เพราะขืนไปเสียสาวก่อนเวลา คุณค่ามันจะหายไป แถมหลายต่อหลายราย เสียสาวแล้ว ยังเสียใจอีกด้วย... ตอนที่เกิดพยานรักแล้วเขาทิ้งไป ประเภท ใช่แน่...ใช่เลย ขอเสียทีเถิด อย่ารีบทำ เพราะบางคนพออยู่กันไปสัก 1 ปี ก็เริ่มถามตัวเองว่า ใช่แน่หรือ
2 ปีผ่านไป บอกเลยว่า...คงไม่ใช่มั๊ง
3 ปี แน่ใจเลย ที่จะบอกว่า...ไม่ใช่แน่ๆ
การจะรักใครสักคนหนึ่ง ควรจะต้องเริ่มถามตัวเองว่า ใช่แน่หรือ... อาจจะใช่นะ ถามแบบนี้สัก 1-2 ปี แล้วค่อยบอกว่า คงจะใช่ อีก 1 ปี ต่อมาค่อยบอกว่า ใช่แน่ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ ก็จะเจอคนที่...รักแท้ การหาคู่ครอง จึงควรจะหา คู่บุญ...ไม่ใช่คู่กรรม
จินตนาการนั้น เป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กับผู้หญิง เพราะในจินตนาการนั้น ผู้หญิงสามารถที่จะฝันถึงเรื่องราวบางอย่าง ที่ไม่สามารถจะเป็นจริงได้ ในชีวิตประจำวัน และเป็นประโยชน์กับผู้หญิงทุกวัย ไม่ว่าจะโสด แต่งงาน หรือเป็นม่าย ยกตัวอย่างง่ายๆ เชื่อไหมว่า แค่ผู้หญิงจินตนาการถึงชายคนที่เธอรัก หรือชื่นชอบแล้ว ในบรรยากาศที่ดีๆ เธอสามารถที่จะจินตนาการต่อไปจนถึงบทโรแมนติก บทรักบทพิศวาสของเธอกับเขา... จนเธอสามารถสุขสมด้วยตนเอง โดยไม่ต้องขยับส่วนต่างๆ ของร่างกายเลย
ผู้หญิงนั้น อยู่คนเดียวก็เสียวได้ ด้วยจินตนาการที่เพริศแพร้วของเธอ และเป็นสิ่งที่ผู้ชายทั้งหลายทำไม่ได้ ผู้หญิงหลายต่อหลายคน จึงมีความสุขจากการช่วยตัวเองมากกว่าการร่วมรักเพราะในจินตนาการของเธอนั้น เธอสามารถที่จะร่วมรักในรูปแบบที่เธอชื่นชอบได้ ต่างจากการร่วมรักกับผู้ชายที่มักจะไม่ค่อยเป็นเหมือนดังที่ฝันและตั้งใจไว้ ...และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนมีความสุขในเวลาที่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งทำรักให้ เพราะรู้ใจกันนั่นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้หญิงที่มีชายคนรักไว้ร่วมรักด้วยจะไม่สามารถใช้จินตนาการให้เป็นประโยชน์ เพราะในระหว่างที่เขาของเธอคนนั้นกำลังปฏิบัติการอันสุนทรีย์อยู่ เธอก็สามารถที่จะหลับตาลง และใช้จินตนาการของเธอ จูงเธอขึ้นสวรรค์ได้เช่นกัน ...นี่ จึงเป็นจุดเดินของผู้หญิงในเรื่องราวของจินตนาการ
ผู้หญิงส่วนใหญ่ จึงมักจะเสร็จสมอารมณ์หมายในเรื่องราวของบทพิศวาสกับผู้ชายของเธอ ถ้าเธอเป็นฝ่ายกระทำและอยู่ด้านบน เพราะในท่วงท่าลีลารักดังกล่าว เธอสามารถที่จะควบคุมบงการการสัมผัสเสียดสี ที่ถ่ายทอดความรักให้แก่กันโดยอาศัย 'ส่วนนั้น' เป็นสื่อกลาง เช่นเดียวกันในท่วงท่าดังกล่าว จุดปมประสาทสัมผัสที่เรียกว่า 'จีสปอท' ยังได้รับการกระตุ้นเสียดสีอย่างเป็นจังหวะจะโคนด้วย ความเร็วช้า นุ่มนวล หรือหนักหน่วงที่เธอเป็นคนควบคุม ในระหว่างที่เธอกำลังเป็นผู้ปฏิบัติการอยู่นั้น เธอยังสามารถที่จะใช้จินตนาการของเธอให้เป็นประโยชน์ในการนำทางเธอไปสู่แดนสุขาวดีที่เธอหวังและตั้งใจไว้ ...จนสุขสมร่วมกับคนที่เธอรัก!!

ความเชื่อผิดๆ ความเข้าใจผิดๆ ทางเพศ 12 ประการ

จริงๆ นะครับ ความคิดผิดๆ นั้น ก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น ถ้ายังไม่ได้กระทำ ย่อมไม่ถือว่าเป็นความผิด... เพราะการกระทำยังไม่เกิดขึ้น โดยเฉพาะความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องเพศนั้น ถ้าคิดใหม่ ทำใหม่เสีย ก็จะไม่เกิดผลร้ายในการดำเนินชีวิตประจำวัน เรื่องราวเกี่ยวกับเพศ ได้รับการปกปิดมานานแล้ว จนข่าวลือและความเชื่อผิดๆ แต่โบราณ ยังคงได้รับการร่ำลือต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ยุคนี้ เราต้องโปร่งใสกันแล้วในทุกเรื่อง... รวมทั้งเรื่องเพศ ความเชื่อผิดๆ ความคิดผิดๆ ในเรื่องเพศ จะต้องได้รับการขจัดปัดเป่าออกไป ต่อไปนี้ เป็นความเชื่อผิดๆ ความเข้าใจผิดๆ ทางเพศ 12 ประการ ที่องค์การอนามัยโลก ได้ตีพิมพ์ไว้ในหนังสือ

1. ผู้ชายไม่ควรแสดงอารมณ์และความรู้สึกเกี่ยวกับความรัก
เพราะคำร่ำลือที่ว่า ผู้ชายไม่ควรแสดงอารมณ์และความรู้สึกเกี่ยวกับความรักให้ออกนอกหน้า ไม่อย่างนั้นจะไม่เป็นชายสมชาย ผู้ชายจึงแสดงออกถึงความรักผ่านการมีเพศสัมพันธ์ จนเหมือนว่า ผู้ชายเกิดมาเพื่อที่จะมีเซ็กซ์ ทั้งๆ ที่เขาต้องการจะระบายความรักออกไป เท่านั้นเอง
แท้จริงแล้ว ผู้ชายสามารถจะแสดงอารมณ์รักออกมาทางสีหน้าแววตา การกระทำอะไรต่อมิอะไรได้เช่นผู้หญิง และการมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของการบอกรัก ด้วยภาษากายเท่านั้น การแสดงความรักที่ซาบซึ้งแบบอื่น ผู้ชายก็ทำได้เช่นเดียวกับหญิง... และผู้หญิงก็ต้องการด้วย
2. การถูกเนื้อต้องตัวจะนำไปสู่การมีเซ็กซ์
เพราะความเชื่อที่ว่า ถ้าผู้หญิงยอมให้ผู้ชายถูกเนื้อต้องตัวแล้ว ก็แสดงว่าเธอมีใจกับเขา เขาจึงต้องพยายามต่อไปที่จะมีสัมพันธ์สวาทที่ลึกซึ้งกว่านั้นกับเธอ เป็นความเข้าใจผิดแท้ๆ เพราะบางครั้งผู้หญิงก็แค่ต้องการความอบอุ่นและประทับใจกับแฟนของเธอเท่านั้น โดยไม่ได้คิดอะไรเลยเถิดไปขนาดนั้นเลย
การจับมือกัน การโอบกอดสัมผัสกายของกันและกัน แท้ที่จริงเป็นการถ่ายทอดความรักที่บริสุทธิ์ ที่สามารถจะสัมผัสจับต้องได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องมีการร่วมรักกันต่อไปเลย และก็ไม่ควรที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะกดดันให้อีกฝ่ายต้องมีเซ็กซ์ด้วย
3. การมีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรงจะนำไปสู่การสุขสมที่มากกว่า
เป็นความเข้าใจผิดกันมานานนักแล้วว่า ผู้ชายที่มีพละกำลังมากๆ จะสามารถมีเพศสัมพันธ์ กับหญิงสาวได้รวดเร็ว รุนแรง และทำให้เธอไปถึงจุดสุดยอดได้ง่าย รวมทั้งมีความเข้าใจผิดเสมอๆ ว่า อาวุธประจำกายของฝ่ายชายที่ใหญ่เท่านั้น ที่จะทำให้ผู้หญิงมีความสุขได้
แท้จริงแล้ว การมีสัมพันธ์สวาทที่อบอุ่น เนิ่นนาน เข้าใจกัน ช่วยกันประคับประคองนาวารัก ให้ผ่านคลื่นลมมรสุมสวาทจนบรรลุถึงฝั่งฝันต่างหาก ที่นำความสุขสมมาสู่คนทั้งสองได้มากกว่า สัมพันธ์สวาทจึงควรที่จะเกิดขึ้นในบรรยากาศที่แสนจะผ่อนคลายและโรแมนติก
4. การมีความสัมพันธ์ทางเพศก็คือการร่วมรัก
จริงไหมครับ เวลาที่คุณๆ นึกถึงการมีเพศสัมพันธ์ที่เรียกกันสั้นๆ ว่าเซ็กซ์นั้น คุณนึกถึงแค่กระบวนการที่ฝ่ายชายนำเอาอาวุธประจำกายของเขาผ่านเข้าไปในส่วนสงวนของฝ่ายหญิง แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น...? ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง และสมควรได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง เพราะเซ็กซ์ ก็คือ การร่วมรัก การแสดงความรักผ่านภาษากาย เป็นสัมผัสรักที่คนสองคนถ่ายทอด ให้แก่กันจากการสัมผัสทางผิวกาย... ส่วนไหนก็ได้ ไม่ใช่เฉพาะส่วนนั้น เท่านั้น
การจูบกันอย่างดูดดื่ม การจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปาก และซอกคอ การกอดรัดสัมผัสทุกส่วนของกันและกัน การใช้ปากและมือรวมทั้งอวัยวะอื่น กับส่วนสงวนของกันและกัน ก็เป็นสัมผัสรักทางภาษากายที่เรียกว่า "เซ็กซ์" ได้ทั้งนั้น
จำไว้เลยนะครับว่า SEX IS NOT JUST AN INTERCOURSE แปลเป็นไทยเอาเองก็แล้วกัน!!
5. ผู้ชายควรเป็นผู้นำในการร่วมรัก
เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นความเชื่อผิดๆ ที่ติดต่อกันมาในทุกยุคจริงๆ เลยนะครับ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายที่มีหัวอนุรักษ์นิยม มักจะคิดเสมอๆ ว่า การจะมีอะไรกันนั้น ผู้ชายต้องเป็นคนกระทำ และผู้หญิงเป็นฝ่ายรองรับการกระทำนั้น... โดยดุษฎี เป็นมาตรฐานต่างระดับ หรือ DOUBLE STANDARD จริงๆ นะครับ
แท้จริงแล้ว การร่วมรักเป็นกระบวนการที่คนสองคนสามารถปรับเปลี่ยนเป็นฝ่ายนำ ในการกระทำได้ โดยเสมอภาคซึ่งกันและกัน ไม่ได้หมายความว่า ถ้าผู้หญิงจะเริ่มสะกิดก่อน และเป็นฝ่ายอยู่ด้านบนแล้ว ผู้ชายจะเสียเปรียบเสียศักดิ์ศรี ผมว่าผู้ชายหลายราย อยากได้แสดงท่วงท่า WOMAN ON TOP ออกจะตาย ขอให้เธอยอมเท่านั้นก็พอ
6. ผู้หญิงไม่ควรจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน
ตามที่เล่าแจ้งแถลงไขในข้อที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า เซ็กซ์ เป็นการสื่อสาร 2 ทางระหว่างคน 2 คน ที่จะร่วมมือกันบรรเลงบทเพลงแห่งความพิศวาส ซึ่งต้องผลัดกันนำผลัดกันตาม และต้องช่วยกันโล้ ช่วยกันพายนาวารักไปยังจุดหมายปลายทางแห่งความสุขสมร่วมกัน
7. ผู้ชายนึกถึงแต่เรื่องเซ็กซ์ตลอดเวลา
มีคำกล่าวผิดๆ ที่พูดกันต่อเนื่องมาว่า ผู้ชายนึกถึงแต่เรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า เซ็กซ์ อยู่ตลอด ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงก็คือ ผู้ชายไม่ได้คิดถึงเรื่องเซ็กซ์อยู่ตลอดเวลา เขาคิดถึงเรื่องอื่นอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เพียงแต่ผู้ชายพร้อมที่จะมีเซ็กซ์เสมอ และไม่ได้หมายความว่า เมื่อเขาพร้อมที่จะมีเซ็กซ์แล้ว เขาจำเป็นจะต้องมีเสมอไป
หลายๆ ครั้ง ที่ผู้ชายบอกสาวคนรักว่า "คืนนี้เราแค่กอดกันก็พอแล้วนะจ๊ะ ที่รัก"
8. ผู้หญิงต้องพร้อมเสมอที่จะมีเซ็กซ์ เมื่อสามีต้องการ
ที่จริงในยุคนี้ ไม่มีความจำเป็นแบบนั้นเลย ในอดีตน่ะใช่ แต่ไม่ใช่ในยุคไอทีแบบนี้ ที่ผู้ชายและผู้หญิงเท่าเทียมกัน และการจะมีเซ็กซ์กัน ก็เป็นกิจกรรมร่วมที่คนสองคนจะต้องใจตรงกันก่อน ไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการ แล้วอีกฝ่ายจะต้องยอม หรือคุณว่า...ไม่ใช่

9. เซ็กซ์ เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ต้องเรียนรู้
ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะพยายามพูดเสมอๆ ว่า เพศศึกษาไม่สำคัญ ทำไมรุ่นก่อนๆ ไม่เห็นต้องเตรียมตัวเรียนรู้เลย ก็สามารถที่จะมีเซ็กซ์กัน จนมีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมืองได้
จริงน่ะจริง ไม่เถียง แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วมั้ง...คุณปู่ ใครๆ ก็รู้ว่า การเตรียมตัวที่ดี ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง เรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนสองคนก็เช่นกัน สามารถเรียนรู้วิธีการที่จะเพิ่มความสุข ให้แก่กันและกันได้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น
10. ผู้หญิงจะต้องไม่ทำ...
ต้องไม่ช่วยตนเอง ต้องไม่ใช้เครื่องมือช่วย เช่น ไวเบรเตอร์ อวัยวะเทียม ต้องไม่แสดงอาการมีความสุขในระหว่างมีเซ็กซ์ ห้ามส่งเสียงครวญคราง ฯลฯ ...นั่นเป็นความเชื่อผิดๆ และเป็นข้อห้ามผิดๆ ที่ควรจะขจัดปัดเป่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้หญิงมีสิทธิทางเพศ อันเป็นสิทธิพื้นฐานที่สามารถกระทำเรื่องดังกล่าวได้ ตามความต้องการตามธรรมชาติ
11. การมีเซ็กซ์ จะต้องไปถึงจุดสุดยอดทุกครั้ง
บางความเชื่อบอกว่า ถ้าจะร่วมรักแล้ว ต้องมีอะไรกันเท่านั้นเท่านี้ ต้องไปถึงดวงดาวทุกครั้ง ต้องถึงพร้อมกัน โถ... ในความเป็นจริง ใครจะทำได้! เซ็กซ์ เป็นธรรมชาติ มีการปรับเปลี่ยน ปรับปรุง เป็นการร่วมรัก ไม่ใช่การบ้าน จึงไม่มีข้อจำกัด
12. ถ้าเซ็กซ์ไม่ดีแล้ว สัมพันธภาพจะไม่ดีตามไปด้วย
ที่จริงแล้ว สัมพันธภาพที่ดี จะทำให้มีเซ็กซ์ที่ไม่สุขสมมากกว่า แต่คู่รักที่มีสัมพันธภาพที่ดี แม้เซ็กซ์จะไม่สุขสมมากนัก ก็ยังคงรักกันอยู่ได้ เพราะคนเราที่มีชีวิตคู่ ไม่ใช่จะอยู่ด้วยกันเพื่อที่จะมีเซ็กซ์

แต่อยู่ด้วยกัน เพราะเราเป็นเพื่อนคู่ชีวิต... ต่างหาก

คนมีเสน่ห์

ผมเคยฝันอยากที่จะเกิดมาเป็นคนมีเสน่ห์ แต่บัดนี้จนแก่แล้วยังทำไม่ได้สักที จนกระทั่งได้มาอ่านบทความของอาจารย์ระเด่น ทักษณา ซึ่งเคยสอนผม แอบเป็นลูกศิษย์ของท่านเงียบๆ เสมอมา จึงนำเรื่องของเสน่ห์มาเล่าให้ฟังต่อ เพราะเห็นว่ามันคล้ายกับธรรมะปฏิบัติของพระพุทธเจ้ามาก คือ มาดต้องตา วาจาต้องใจ ภายในต้องเยี่ยม และเบ็ดเตล็ดอื่นๆ มาดต้องตานั้นมีส่วนทำให้เกิดเสน่ห์ทางตา ถึง 83% (ส่วนวาจาต้องใจ คือ ฟังด้วยหูแล้วเกิดเสน่ห์ เพียง 11% เท่านั้น)


มาดต้องตา 10 ประการมีดังนี้
1. มีนิสัยสดชื่นร่าเริงอยู่เสมอ การยิ้มแย้ม แจ่มใสกับผู้คนทำด้วยความจริงใจ ออกมาจากใจ
2. ชอบยกมือไหว้คนด้วยความนอบน้อม ลักษณะที่งดงาม สบตาทุกครั้งที่ไหว้ ศีรษะค้อม มือชิดอก และใจเคารพ
3. เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนกับทุกคน โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่แสดงอำนาจ วางท่าเย่อหยิ่ง เหนือผู้อื่น
4. เมื่อได้พบกับคนอื่นที่รู้จักกันแล้ว หรือครั้งแรกก็ตาม ควรจะแสดงความกระตือรือร้น ยินดีที่ได้พบ ที่ได้รู้จักกัน รีบลุกขึ้นยืนทักทายทันที
5. คนมีเสน่ห์ ไม่รู้สึกเสียเกียรติ ที่จะกล่าวคำขอโทษ หรือขอบคุณใครก็ตาม ตั้งแต่คนงาน คนรถ คนใช้ไปถึงระดับผู้ใหญ่ที่มีเกียรติ
6. คนมีเสน่ห์ จะมีความสง่างาม รู้จักวางตัวเหมาะสม เคลื่อนไหวช้าเกินไป ไม่เร็วจนลุกลี้ลุกลนเกินไป เมื่อเล่นก็เล่น เมื่อทำงานก็ทำงาน
7. แต่งกายให้ถูกกับกาลเทศะ ไม่แต่งตามใจเราเอง แต่แต่งตามสภาพของงานที่จะไป และสังคมสิ่งแวดล้อมที่กำลังมีงานอยู่
8. ถ้าหากงานที่จะไปนั้น เป็นงานใหญ่ของเจ้าภาพที่มีเกียรติยศและตำแหน่ง หน้าที่การงานสูง เราไม่สามารถแต่งกายให้สมเกียรติได้ก็อย่าไปดีกว่าเพราะว่า จะทำให้เจ้าภาพเขาเสียหน้า และกระอักกระอ่วนใจ
9. ในงานพิธีต่างๆ เมื่อเราได้รับเชิญให้ลุกขึ้นยืนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าชุมชน ควรจะกลัดกระดุม ให้เรียบร้อยทุกๆ เม็ด รวมทั้งสูทด้วย
10. คนมีเสน่ห์ เมื่อไปงานพิธีใหญ่ ต้องแต่งกายรัดกุม ถูกกาลเทศะไม่พกของตุงกระเป๋า เช่นโทรศัพท์มือถือหรือสะพายกล้องรุงรัง

วาจาต้องใจ

11. คนมีเสน่ห์ เมื่อพูดกับใคร หรือมีใครพูดด้วยต้องให้ความสนใจ 100% ด้วยอาการใจจดใจจ่อ และฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แม้เรื่องนั้นเราจะเคยฟังมาหลายครั้งแล้วก็ตาม
12. เราต้องพูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง จะไม่พูดในสิ่งที่เราอยากพูด โดยพยายามถามตนเองทุกครั้ง ก่อนจะพูดว่าเราควรจะพูดออกไปไหม
13. ให้พยายามพูดในภาษาของคนฟัง ไม่ใช่พยายามพูดในภาษาของคนพูด เพราะเมื่อพูดแล้วคนฟังน่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ
14. คนมีเสน่ห์ ควรแบ่งบทพระเอกให้คนอื่นเป็นบ้าง อย่าถือว่าเก่งคนเดียว เป็นเจ้านายคนเดียว เป็นหัวหน้าคนเดียว แบ่งให้คนอื่นบ้าง
15. ต้องไม่ยกตนข่มท่าน หลีกเลี่ยงในการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นว่าไม่ดี เราดีอยู่คนเดียว รังแต่จะสร้างศัตรู เร่งแก้ไขความบกพร่องของตัวเองจะดีกว่า
16. คนมีเสน่ห์ไม่พูดถึงความยากของตนเอง หรือบ่นแต่ความทุกข์ของตนเอง ให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะปัญหาหนักอกหนักใจ นอกจากเขาช่วยเราไม่ได้แล้ว เขาอาจจะนึกดูถูกเราด้วยซ้ำไปในความโง่ของเรา
17. อย่าพูดถึงความร่ำรวย มีเงินทองของตนเองเพราะว่าถึงเราจะรวยแต่เราก็คงไม่ยอม ไปแจกเงินเขาหรือให้ใครยืม เขาจะหมั่นไส้เอาเปล่าๆ
18.คนมีเสน่ห์ ย่อมจะไม่พูดถึงความเลวร้าย ความไม่ดีของคนในครอบครัว ลูกเมียของเรา ยกเว้นจะถูกคะยั้นคะยอเท่านั้น
19. คนมีเสน่ห์จะเป็นคนมีอารมณ์ขัน มีศิลปะในการเล่าเรื่องตลกบ้างเป็นครั้งคราว มีอารมณ์ขันสร้างบรรยากาศ ให้ครื้นเครงตามแต่กาลเทศะ แต่ไม่พร่ำเพรื่อจนกลายเป็นตัวตลกไป
20. ต้องไม่แสดงความรังเกียจ จนออกนอกหน้าเมื่อได้ยินเรื่องที่ไม่ถูก ไม่ว่าจะเรื่อง DIRTY JOXES ก็ตาม

ภายในต้องเยี่ยม

21. คนมีเสน่ห์ต้องมีน้ำใจ เอื้ออาทรต่อคนรอบข้าง "เงินยิ่งใช้ยิ่งหมด แต่น้ำใจยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม" ควรมีน้ำใจในเป็นทุกเรื่อง
22. คนมีเสน่ห์ย่อมทำตัวเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ เพราะว่าผู้ให้ย่อมมีความสุขมากกว่า การไปรับของจากผู้อื่น
23. เป็นคนมีความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี สังคมเคารพยกย่อง คนที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณมาก
24. คนมีเสน่ห์ ย่อมมีความเสมอต้นเสมอปลายไม่ว่าตกทุกข์ได้ยาก ตกงาน ว่างงาน หรือจะร่ำรวยมีฐานะดีก็ตาม
25. คนมีเสน่ห์จะเอาหลักศาสนาที่ตนนับถือ มาเป็นหลักปฏิบัติ ชาวพุทธจะปฏิบัติตนตามธรรมะ คือ ศีล 5 พรหมวิหาร 4 และเมตตาธรรม
26. การทำความดี เราถือว่าเป็นความสุข ไม่ใช่เพราะรอให้คนมาเห็นเราทำความดี จึงจะมีความสุข การทำความดีโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจะทำให้จิตใจเบิกบาน
27. เมื่อมีคนติติง ก็อย่าโกรธ เพราะว่าคำตินั้นมีประโยชน์ในการก่อมากกว่าคำชม ซึ่งจะทำลายและทำให้เหลิงและเสียคน
28. คนมีเสน่ห์จะแสดงความเคารพนับถือ ครูบาอาจารย์ วิทยากร ถึงแม้จะมีอายุน้อยกว่าก็ตาม ถ้าเราคิดว่าเราโง่ เราก็จะมีโอกาสเป็นคนฉลาด แต่ถ้าหากว่าเราคิดว่าเราเป็นคนฉลาดเราจะเป็นคนโง่ที่แท้จริง
29. ให้ความสนใจกับคำเชิญไปงานต่างๆ เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เรารักและเคารพ ถ้าหากเป็นไปไม่ได้จริงๆ ควรจะโทรศัพท์ไปขอโทษ และส่งของขวัญตามไปภายหลัง งานศพนั้นความไปเสมอ
30. คนมีเสน่ห์ ควรให้อภัย ไม่อาฆาตจองเวรคนที่ให้อภัยเป็นทานจะมีใบหน้ารอยยิ้ม อิ่มเอิบ ผุดผ่องเสมอ คนโกรธจะมีใบหน้าบึ้งตึงไร้เสน่ห์

เบ็ดเตล็ด
31. คนมีเสน่ห์ย่อมจดจำวันเกิดของเพื่อน คนที่รู้จัก หรือคนที่สนิทได้ แล้วส่งของขวัญวันเกิด ดอกไม้หรือโทรศัพท์ไปแสดงความยินดี
32. คนมีเสน่ห์ย่อมเตรียมนามบัตรไว้จำนวนหนึ่งให้พอแจกเสมอ เมื่อยื่นนามบัตรให้ยื่นในระดับสายตา ผู้รับอ่านเห็น และควรอ่านชื่อตนเองดังๆ เพื่อเขาจะได้ทราบว่าชื่อของเราอ่านว่าอย่างไร
33. เมื่อมีผู้มอบนามบัตรให้ เราควรจะยกมือขึ้นรับและไหว้ ควรอ่านชื่อในนามบัตรของเขาดังๆ เพื่อให้จดจำชื่อของเขาได้
34. นามบัตรเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อราได้รับนามบัตรอย่าเพิ่งรีบเก็บเข้ากระเป๋า ควรวางบนโต๊ะในที่มองเห็นตลอดเวลา อย่าให้เปื้อน แล้วเก็บไปด้วยเสมอ
35. เมื่อมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วในโต๊ะอาหารหรือนั่งประชุม ควรจะขออนุญาตเมื่อจะเข้าไปนั่งด้วย และกล่าวคำขอโทษก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ อย่าลุกไปเฉย
36. ผู้มีเสน่ห์เมื่อนั่งอยู่ในโต๊ะอาหารหรือที่ประชุมควรยิ้มต้อนรับหรือกล่าวคำทักทาย ผู้มาใหม่เสมอ หรือผู้ที่จะลุกออกไปจากโต๊ะ
37. เมื่อนั่งโต๊ะอาหาร ควรคลี่ผ้ากันเปื้อนไว้เป็นรูปสามเหลี่ยมบนตัก อย่าใช้ผ้ากันเปื้อนเช็ดปาก เช็ดหน้า เช็ดมือเป็นอันขาด และเมื่อลุกจากโต๊ะควรพับผ้ากันเปื้อนแล้ววางเอาไว้บนโต๊ะ
38. เมื่อรับประทานอาหารเสร็จควรรวบช้อนส้อมเข้าด้วยกัน พนักงานเสิร์ฟจะได้มาเก็บจานไป แต่ถ้ายังรับประทานไม่เสร็จ ให้วางช้อนและส้อมเป็นรูปตัววี
39. คนมีเสน่ห์ เมื่อตักอาหารบุฟเฟ่ต์ ควรตักกับข้าวอย่างเดียว อย่าตักทุกอย่างรวมกันจนล้นจาน เหมือนคนตายอด ตายอยาก เมื่อไม่พอกินก็ตักมาใหม่
40. เมื่ออาหารติดฟัน ไม่ควรที่จะใช้มือแคะอาหารออกจากปาก อาจจะใช้มือป้องแล้วแคะฟัน แต่ที่ดีที่สุดควรจะลุกไปทำในห้องน้ำจะดีกว่า
41. คนมีเสน่ห์เมื่อไปงานเต้นรำ ควรจะหาคู่เต้นไปเอง ไม่ควรไปล่าหาเหยื่อ ถ้าหากจะไปขอสุภาพสตรีอื่นในโต๊ะ ควรจะขออนุญาตสุภาพบุรุษในโต๊ะเสียก่อน และเมื่อเต้นเสร็จแล้ว ควรพามาส่งคืนที่โต๊ะพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ
42. คนมีเสน่ห์ เวลาเล่นกอล์ฟ เขาจะไม่พูดคุยหรือแสดงอาการรบกวนคนที่กำลังพัทท์กอล์ฟ และเมื่อเขาพัทท์ลูกกอล์ฟลงหลุม ควรจะแสดงความยินดีอย่างจริงใจ
43. เมื่อถูกเชิญขึ้นไปร้องเพลง ต่อหน้าคนมากๆ ควรจะขึ้นไปร้องเพลงเฉพาะเพลงที่ตนถนัด และแน่ใจเท่านั้น ถ้าหากร้องไม่ได้จริงๆ ควรจะปฏิเสธดีกว่าขึ้นไปเสียหน้าบนเวที
44. คนมีเสน่ห์ เมื่อเจ็บป่วย เวลาไอหรือจาม ในที่ชุมนุมชนควรจะใช้ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากจมูกเสมอ ถ้าเลี่ยงได้ ควรเลี่ยงออกมาภายนอก
45. เมื่อไปเยี่ยมคนป่วย ควรเลือกของเยี่ยมที่เหมาะสมกับคนป่วยและภาวะของโรค เช่น ของกิน ของใช้ ดอกไม้ หรือหนังสือที่เหมาะกับคนไข้
46. ผู้มีเสน่ห์ย่อมไม่ขับรถปาดหน้าผู้อื่น ไม่บีบแตรไล่ ไม่เปิดไฟไล่หลัง และไม่แย่งที่จอด เมื่อมีผู้อื่นกำลังรออยู่ก่อนเรา
47. คนมีเสน่ห์ ย่อมเป็นคนตรงต่อเวลา ให้ความสำคัญกับการนัดหมายทุกครั้ง ไม่ควรอ้างว่า นาฬิกาปลุกเสีย รถติด เพราะว่าเชยหมดสมัยแล้ว

จากตัวอย่างของ คนมีเสน่ห์ที่เขียนมาเพียงน้อยนิด ยังมีเสน่ห์อีกมากมาย ที่เราจะสร้างขึ้นมาได้ เพราะว่าเสน่ห์ไม่ใช่ของที่ได้มาแต่เกิด เป็นมารยาทสังคมที่เราต้องเรียนรู้ และสร้างนิสัยขึ้นมา เหมือนในโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท เราจะมีการฝึกอบรมเสน่ห์มารยาท การยิ้ม พนักงานอย่างต่อเนื่อง เมื่อคนป่วยจะป่วยทั้งกายและใจ การต้อนรับของผู้ให้บริการ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดความประทับใจ เหมือนธรรมะทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดเสน่ห์ และเป็นที่รักของคนทั่วไป